วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พายุสุริยะ


ปรากฏการณ์ "พายุสุริยะ" ทำให้ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานประจุไฟฟ้าออกมายังโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ซึ่งประจุไฟฟ้าที่ ส่งออกมาคือสิ่งที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของ "ภูมิอากาศ" และ "ระบบธรณีวิทยา" บนโลก
แล้วปรากฏการณ์พายุสุริยะเกิดขึ้นได้อย่างไร !
การจะเกิดพายุสุริยะได้ต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ 1) ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 2) เกิดปรากฏการณ์เรียงตัวกันเป็นระนาบในทางช้างเผือก และ 3) มีรังสีคอสมิก
ขณะเดียวกัน เมื่อปี 2551 องค์การนาซาได้ตรวจพบ "รูรั่ว" ในสนามแม่เหล็กโลกที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยคาดไว้ และยังพบชั้นบรรยากาศของโลกที่หดตัวลงมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้เปรียบเสมือนสิ่งที่เป็นเกราะป้องกันรังสีจากนอกโลกไว้
ประเด็นคือยิ่งปริมาณ "รังสีคอสมิก" เข้ามามากเท่าไหร่ จะเกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศในโลก จะมีน้ำก่อตัวมากขึ้น 
ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อปี 1978 มีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยคาดการณ์ล่วงหน้าว่า ในช่วงเร็ว ๆ นี้ระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าสู่กลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ในอวกาศ ทำให้มี "รังสีคอสมิก" เข้ามาในระบบสุริยะมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศบนดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ
สมมติฐานนี้ได้ถูกคอนเฟิร์มแล้ว เมื่อปี 2009 จากข้อมูลของดาวเทียม voyager 1 และ 2 ของนาซาที่โคจรอยู่บริเวณขอบของระบบสุริยะ
จึงตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศ ทั่วโลกที่กำลังมีความเคลื่อนไหว อาทิ พม่าย้ายเมืองหลวงไปที่เนปิเดา ห่างชาย ฝั่งทะเล 400 กิโลเมตร เนเธอร์แลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ อเมริกากำลังสร้างเมืองลอยน้ำ นอรเวย์ย้ายฐานทัพทหารลงใต้ดิน รัสเซียกำลัง สร้างฐานทัพและหลุมหลบภัยใต้ดิน 5 พันแห่ง ฯลฯ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ !
สัญญาณบอกเหตุ 1-3 วัน
         ย้อนกลับมาดูผลศึกษาเหตุการณ์ในอดีต พบว่าเมื่อปี 1859 พายุสุริยะเคยเกิดขึ้นทำให้ระบบสายส่งโทรเลขขัดข้อง มีเจ้าหน้าที่ถูกไฟฟ้าชอร์ตเพราะพลังงานเหล่านี้ถูกส่งผ่านจากชั้นบรรยากาศ
         ถัดมายุคปัจจุบัน เริ่มจากวิกฤตอุทกภัยในภาคกลางของประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าเมื่อ วันที่ 22 กันยายน 2554 ได้เกิดพายุสุริยะขึ้น เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์มีการระเบิดอย่างรุนแรง โดยหน่วยงาน spaceweather.com ของสหรัฐทำนายว่า ในวันที่ 26 กันยายน จะเกิดประจุไฟฟ้ามาตกกระทบที่ขอบโลก ด้านนอก และตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน ปริมาณน้ำก็เพิ่มขึ้นมากและเกิดน้ำท่วมต่อมา และในวันเดียวกันที่ประเทศสเปนยังมีภูเขาไฟระเบิดอีกด้วย  
 ล่าสุดกับ "น้ำท่วมภาคใต้" ปรากฏว่าตรวจพบพายุสุริยะเมื่อ 26 ธันวาคม จากนั้น 28  ธันวาคม  2554 เกิดฝนตกหนัก และวันที่ 30-31 ธันวาคม 2554 น้ำก็ท่วม ส่วนการเกิดคลื่นสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ปีที่ผ่านมา ก็ตรวจพบดวงอาทิตย์มีการระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้ "จุดดับ" บนดวงอาทิตย์เกิดการหดหรือขยายตัว จึงมีการตั้งข้อสังเกต หากจุดดับบนดวงอาทิตย์หดหรือขยายตัว จะสัมพันธ์กับการเกิด แผ่นดินไหวบนโลก นั่นหมายความว่า ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ จะมีพายุสุริยะหรือการระเบิดของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อน เฉลี่ย 1-3 วัน
         เลี่ยงน้ำท่วมอีก 4 ปี การบรรยายในวันนั้นมีข้อสรุปแบบฟันธงว่า ระหว่างปี 2012-2015 ยังมีโอกาสที่ดวงอาทิตย์จะเกิดปฏิกิริยาพายุสุริยะได้ตลอด แต่  ไม่ขอฟันธงว่า ภัยพิบัติธรรมชาติจะเกิดขึ้นในเมืองไทยหรือประเทศอื่น แต่เชื่อว่าแนวโน้มสภาพอากาศ แปรปรวน ปัญหาน้ำท่วมยังคงมีอยู่ และมีโอกาสจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2015 ความถี่การเกิดพายุสุริยะจะลดลง จนกว่าจะผ่านไปอีก 11 ปี ที่วงรอบการเกิดพายุสุริยะถี่จะกลับมา ระหว่างนี้ คนไทยจึงไม่ควรประมาทกับภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น "สำหรับประเทศไทย ปัญหาน้ำท่วม บอกไม่ได้ ว่าเกิดที่ไหน รุนแรงเท่าใด แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ ช่วงระหว่างปี 2012-2015 เมื่อคำนวณจากปรากฏการณ์พายุสุริยะ"

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตะลึง! เด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 5 เล่ม



นักวิชาการชี้ ผลสำรวจปี 2551 พบเด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 5 เล่ม แม้ในปี 2554 จะมีสถิติการอ่านเพิ่มมากขึ้น 

แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ ดังนั้นรัฐควรกระตุ้นการอ่านอย่างต่อเนื่อง
 
          เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดเสวนา 100 หนังสือที่เด็กและเยาวชนควรอ่าน เพื่อพูดคุยถึงพฤติกรรมการอ่านหนังสือของ โดย รศ.วิทยากร เชียงกูล หัวหน้าวิจัยโครงการ 100 หนังสือดีเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย เปิดเผยว่า โครงการ วิจัยดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อสร้างแรงกระตุ้นนิสัยรักการอ่านในสังคมไทย เนื่องจากที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักมองว่าหนังสือประเภทบันเทิงคดี เป็นหนังสือสำหรับอ่านเล่นเพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงหนังสือประเภทนี้ กลับมีบทบาทช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก
 
          ทั้งนี้ การคัดเลือก 100 หนังสือที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มวัยตามความสนใจและการรับเนื้อหาที่แตกต่างกัน คือ
 
          1. กลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-6 ปี จะคัดเลือกหนังสือที่มีรูปภาพประกอบและมีเนื้อหาที่อ่านง่าย
 
          2. กลุ่มเยาวชน อายุ 6-12 ปี จะ คัดเลือกหนังสือที่เด็กสามารถเอาตนเองไปเปรียบเทียบได้อย่างสนุก มีเนื้อหาที่สะท้อนชีวิตมากขึ้นทั้งความหวัง ความเศร้า แต่เนื้อหาจะไม่หดหู่และร้ายแรงจนเกินไป
 
          3. กลุ่มวัยรุ่น อายุ 12-18 ปี คัดเลือกหนังสือที่มีมีเนื้อหาหลากหลาย โครงเรื่องซับซ้อนมากขึ้น และมีการใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่สื่อความหมายได้ดี
 
          รศ.วิทยากร กล่าวต่อว่า จากการคัดเลือกหนังสือเพื่อส่งเสริมการอ่านดังกล่าว ทำให้พบว่า ในภาพรวมของประเทศไทย ยังถือว่ามีการพัฒนาหนังสือสำหรับเด็กเล็กค่อนข้างน้อย จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมกันพัฒนา เพราะ ช่วงเด็กถือเป็นช่วงที่สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน และปลูกฝังพฤติกรรมรักการอ่านได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะช่วงอายุ 4 ขวบ หากเด็กเล็กได้อ่านหนังสือและเกิดติดใจ จะถือเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่เด็กจะติดนิสัยรักการอ่านไปตลอดชีวิต
 
          ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2551 ระบุว่า คน ไทยอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป ใช้เวลาอ่านหนังสือเรียนนอกเวลาเรียนและเวลาทำงาน เฉลี่ยวันละ 39 นาที โดยกลุ่มเยาวชนถือเป็นกลุ่มที่อ่านหนังสือมากที่สุด เฉลี่ย 46 นาที แต่หากเทียบกับประเทศอื่นยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก ซึ่งจาก การจัดลำดับพฤติกรรมการอ่านพบว่าใน 1 ปี เด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยเพียง 5 เล่ม ขณะที่เวียดนาม อ่าน 60 เล่ม สิงคโปร์ อ่าน 45 เล่ม และมาเลเซีย อ่าน 40 เล่ม ดังนั้น รัฐบาลจึงควรผลักดันนโยบายรักการอ่านอย่างจริงจังในระยะยาวด้วย
 
          ด้าน นายปรีดา ปัญญาจันทร์ หนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกหนังสือ กล่าวว่า หนังสือเด็กและเยาวชนของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน หากเทียบกับจำนวนเนื้อหาพบว่า ประเทศไทยมีผู้ผลิตหนังสือเด็กและเยาวชนของประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่น ๆ เนื่อง จากหนังสือเด็กในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนใหญ่จะเน้นการนำนิทานพื้นบ้านกลับมาทำใหม่ ส่วนหนังสือเด็กในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่มาจากต่างประเทศเพราะไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา ขณะที่ในประเทศไทยนั้น พบว่าปัจจุบันหนังสือแปลจากต่างประเทศลดลง แต่มีการผลิตเนื้อหาภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลุ่มผู้อ่านยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่มีพื้นฐานการศึกษา และฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรมีมาตรการสนับสนุนกลุ่มเด็กที่มีฐานะยากจนให้เข้าถึงหนังสือมากยิ่งขึ้น
 
          อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสํารวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ดำเนินการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน พ.ศ. 2554 จากจำนวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 53,000 ครัวเรือน พบว่า เด็กเล็กใน กทม. มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุด ร้อยละ 63.0 ส่วนผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือ ร้อยละ 68.6 ดังนั้นจึงพบว่า วัยเด็ก มีอัตราการอ่านหนังสือสูงกว่าวัยอื่น รองลงมาคือ กลุ่มเยาวชน กลุ่มวัยทำงาน และกลุ่มสูงอายุ
 
          ซึ่งในการสำรวจครั้งนี้ ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ได้ให้ข้อเสนอแนะในการรณรงค์ให้คนนักการอ่านหนังสือในหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น หนังสือควรมีราคาถูกลง และมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ รวมทั้งควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการอ่านหนังสือของประชากร ซึ่งสำรวจไว้ในปี 2551 พบ ว่า ประชากรมีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี มีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น จากเดิมร้อยละ 63.0 เป็นร้อยละ 53.5
 
          สำหรับ กลุ่มผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากเดิมร้อยละ 66.3 เป็นร้อยละ 68.6 ทั้งนี้ อาจเนื่องจากมีการรณรงคส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปีเป็นวันรักการอ่าน และปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน จึงเชื่อว่าหากรัฐบาลมีการผลักดันโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สิถิติการอ่านหนังสือของคนไทยน่าจะขยับสูงขึ้นอี

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ไม่น่าเชื่อ! รถยนต์ไร้คนขับของ Google วิ่งบนถนนปกติไปแล้วเกือบ 5 แสน กม. โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ!!

 ไม่น่าเชื่อ! รถยนต์ไร้คนขับของ Google วิ่งบนถนนปกติไปแล้วเกือบ 5 แสน กม. โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ!!


ติดตามข่าว IT ที่น่าสนใจกับ เฮียณัฐ TechXcite เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บริษัท Google ได้ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญอีกครับ เกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ หรือ Self-Driving Cars ที่ล่าสุดทาง Google ได้ทดสอบการใช้งานจริงของรถยนต์ที่ว่านี้ ขับไปเรื่อยๆ แบบไม่มีคนขับถึง 300,000 ไมล์ หรือประมาณ 480,000 กิโลเมตร บนสภาพถนนทั่วไป ที่พวกเราใช้กันอยู่จริงนี่แหละครับ และที่สำคัญ การใช้งานที่ว่านี้ ไม่มีการเกิดอุบัติเหตุขึ้นด้วย (หลายคนขับไม่ถึง 100,000 กิโลเมตรก็ขับชนเองซะแล้ว)

การทดสอบนี้ถือเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ของทั้งวงการไอที และยนตกรรมของโลกเลยนะครับ กับรถยนต์ไร้คนขับของทาง Google ที่สามารถวิ่งบนท้องถนนสภาพจริงโดยไม่มีคนขับ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และไม่เกิดอุบัติเหตุด้วยระยะทางถึง 480,000 กิโลเมตร ซึ่งตัวโปรแกรม Driverless นี้จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Street View ของ Google เองเช่นกัน และทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อควบคุมรถยนต์ รวมถึงกล้องถ่ายภาพ และเซ็นเซอร์มากมายหลายตัวรอบรถด้วย (รถยนต์รุ่นที่ใช้คือรุ่น Lexus RX450h Hybrid)

ใน อนาคตไม่แน่ว่า เวลาเราจะไปไหนก็แล้วแต่ เพียงแค่กดที่หมาย รถของคุณก็จะพาคุณไปส่งถึงที่หมายโดยไม่ต้องขับเองได้แล้วล่ะครับ เหมือนในการ์ตูนทีเดียวล่ะ น่าสนใจมาก
ก่อนหน้านี้ ทาง Google ได้เคยให้ชายตาบอดทดลองนั่งไปกับรถยนต์คันนี้มาแล้ว เจ๋งมากๆ

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

100 สุภาษิตควรรู้

*It is a rough road that leads to the heights of greatness.--หนทางไปสู่ความยิ่งใหญ่ ย่อมต้องฟันฝ่าอุปสรรค
* If you want to throw a stone, every lane will furnish one. -โอกาสทำชั่วเกิดขึ้นได้ง่ายทุกเวลา *
 It is better to be envied than pitied. -ถูกมองอย่างอิจฉา ดีกว่าถูกมองอย่างสมเพช
* The best fish swims near the bottom.-ของดีมีค่าต้องค้นหาจึงจะเจอ
 * It’s harder to conquer one’ own ambitions than it’s to slay a dragon. -ฆ่ามังกรยังง่ายกว่าดับตัณหาในตัวเอง
* The used key is always bright. ( Practice makes perfect. ) -การฝึกฝนอยู่เสมอทำให้เกิดความชำนาญ
*Don’t let the grass grow under your feet. -อย่าให้ความเกียจคร้านเป็นอุปสรรคในการทำงาน
* To accomplish great deeds one must have knowledge as well as courage. -ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่กำลังใจและปัญญา
*An empty hand is no lure for a hawk. -ไม่มีใครได้อะไรโดยไม่ต้องลงทุน
* Hair by hair you will pull out the horse’s tail. -ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เพราะความเพียร
* To lock the stable door after the horse is stolen. -วัวหายจึงล้อมคอก (สายเกินแก้)
* Better to be the head lf a dog than the tail lf a lion. -เป็นใหญ่ในที่เล็กดีกว่าเป็นเล็กในที่ใหญ่
* Half a loaf is better than none. -แม้มีน้อยด้อยค่ายังดีกว่าไม่มีเลย
* He who hunts two hares leaves one and loses the other. ( No one can do well two things at once. ) -อย่าจับปลาสองมือ อย่าเหยียบเรือสองแคม
* He who would eat the nuts must first crack the shell. -ผู้ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคจึงจะประสบความสำเร็จ
* Never judge a book by its cover. -อย่าตัดสินสิ่งใดเพียงภายนอกที่มองเห็น
* Don’t count your chickens before they are hatched. -อย่าหวังน้ำบ่อหน้า อย่าตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ
* People who live in glass houses shouldn’t throw stones. -อย่าตำหนิคนอื่นเขา ในเมื่อตัวเราก็ไม่ต่างกัน (ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง)
* You can lead a horse to water but you can’t make it drink. -อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า (ให้คำแนะนะได้แต่ไม่สามารถบังคับให้ทำตามได้)
* When the cat’s away the mice will play. - (แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง) หน้าไว้หลังหลอก
* A real king is greater than his crown. A real man is more than his clothes. -ความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า ความเป็นราชาไม่ได้อยู่ที่มงกุฎ
* Let a sleeping dog lie. -อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ (อย่าหาเรื่องใส่ตัว)
* One swallow doesn’t make a summer. -อย่าด่วนสรุปความก่อนฟังเหตุผลให้ถ้วนถี่
* A bad workman always blames his tools. -รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
* Cross the stream where it is shallowest. -จงหาวิธีง่ายที่สุดในการแก้ปัญหา
* A bird in hand is worth two in the bush. -จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่
* Don’t cross a bridge until you come to it. -อย่าตีตนไปก่อนไข้
* Cut your coat according to your cloth. -นกน้อยทำรังแต่พอตัว
* The proof of the pudding is in the eating. -ค่าของคนอยู่ผลของงาน
* Don’t make a mountain out of a mole hill. -อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
*Be not afraid of growing slowly Be afraid only of standing still. ( Chinese Prov. ) -อย่าห่วงเลยถ้าต้องไปอย่างช้าช้า ที่น่ากลัวมากกว่าก็คือหยุดอยู่กับที่
* It takes two to make a quarrel. -ตบมือข้างเดียวไม่ดัง
* No man is happy who does not think himself so. -คนที่ปราศจากความสุขก็คือคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีความสุข (สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ)
* It’s never too late to mend. -ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการแก้ไข้ * One good turn deserves another. แตงโมเลื้อยไปแตงไทเลื้อยมา * The harder the storm the sooner it’s over. -เรื่องใหญ่จบง่ายกว่าเรื่องเล็ก
* A change of pasture makes fat calves. -ประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้วิสัยทัศน์กว้างไกล
* Advice after mischief is like medicine after death. -กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (สายเกินแก้)
* When the building is about to fall down all the mice desert it. -เมื่อหมดอำนาจวาสนา คนนำพาก็ลาจาก
* Don’t wash dirty linen in public. -(อย่าเอาเรื่องในบ้านไปเล่านอกบ้าน) อย่าสาวไส้ให้กากิน
* If you can’t bite better not show your teeth. -อย่าขู่ใครเขาถ้าเราไม่แน่จริง
* Make hay while the sun shines. ( Tide and time wait for no one. ) -น้ำขึ้นให้รับตัก
* A stitch in time saves nine. -ตัดไฟแต่ต้นลม
* There is no rose without thorns. -ไม่มีกุหลาบใดปราศจากหนาม ไม่มีความสำเร็จใดที่ปราศจากอุปสรรค
* Too many cooks spoil the broth. -มากหมอมากความ
* Every dog has his day. -วันพรไม่มีหนเดียว (ทุกคนย่อมมีโอกาส)
* Success is a ladder that cannot be climbed with your hands in your pockets. ( American Prov. ) -ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เพราะความเพียร
* If you don’t value what you have, you’re sure to lose it. -กว่าจะรู้ค่าสิ่งที่มีอยู่ก็สายเสียแล้ว
* A man of word not a man of deed is like a garden full of weed. -ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน (ไม่ใช่ที่คำพูด)
* If you would enjoy the fire you must put up with smoke. -(ถ้าจะเล่นไฟก็ไม่ควรกลัวควัน) สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน
* What’s sauce for the goose is sauce for the gander. -ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน
* Don’t put all eggs in one basket. -อย่าตั้งความหวังไว้กับสิ่งเดียว (พลาดพลั้งจะเหมือนนกปีกหัก)
* Faults are thick when love is thin. ( Danish. ) -ยามรักจืดจางก็มองเห็นแต่ข้อเสีย (ของกันและกัน)
* It’s impossible to judge someone without judging yourself. -จงพิจารณาตนเองก่อนไปตัดสินคนอื่น
* When men are friendly even water is sweet. ( Chinese. ) -ยามเมื่อเรามีสัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกันแม้น้ำก็ยังหวาน
* Beware of little expenses, a small leak can sink a great ship. -เรื่องเล็กอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่ใส่ใจระมัดระวัง
* A man with little learning is like a frog who thinks its paddle a great sea. -คนมีความรู้น้อยเปรียบดังกบในแอ่งน้ำขังที่มันคิดว่านั่นคือทะเล (กบในกะลา)
* By a sweet tougue and kindness you can drag an elephant with a hair. -ปิยะวาจาและความเมตตาชนะทุกสิ่ง
* The best way to fight an evil man is to pay no attention. -จงสู้กับคนชั่วด้วยวิธีอหิงสา
* Love your neighbors, but don’t pull down the fence. -จงรักเพื่อนบ้านแต่ต้องมีขอบเขต
* He who asks a question is fool for five minutes; He who does not ask remains a fool forever. -ยอมโง่ห้านาทีเพื่อถามสิ่งที่ไม่รู้ดีกว่าไม่ถามแล้วโง่ตลอดชีวิต
* Life is a struggle For those who want more than life itself. -ชีวิตคงต้องดิ้นรนเรื่อยไป ถ้าไม่รู้จักคำว่า “พอ”
* Don’t bite the hand that feed you. -อย่ากินบนเรือน แล้วถ่ายบนหลังคา
* Criticism comes easier than craftsmanship.(Zeusis) -วิจารณ์ง่ายกว่าลงมือทำ
* With money, a dragon without it, worm. (Chinese) -ยามร่ำรวยเปรียบดังพระยา หมดวาสนาก็เหมือนไส้เดือน กื้งกือ
* The one who understands does not speak; the one who speaks does not understand. -คนฉลาดมากพูดน้อย คนฉลาดน้อยพูดมาก
* If you don’t have a plan for yourself you’ll be part of someone else’s. -ถ้าไม่คิดทำอะไรเอง ก็ต้องเป็นผู้ตามเรื่อยไป
* Don’t ignore the small things the kite flies because of its tail. -อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อยว่าด้อยค่า ทุกอย่างมีราคาในตัวเอง
*Misfoutune shows those who are really friends. -ยามทุกข์ยากจึงรู้ว่าใครคือเพื่อนแท้
* The crab that walks too far falls into pot. (Haitian) -คนอวดเก่งมักถึงหายนะในที่สุด
* Behind an able man there are always other able men. -เหนือฟ้ายังมีฟ้า
* When the head is under the influence of wine, many a thing swims out of heart. (Yugoslav) -พอเหล้าเข้าปาก ความยากก็หายไป * Seek advice but use your own common sense. (Yiddish) -จงแสวงหาคำแนะนำแต่ตัดสินใจด้วยตัวเอง
* If you kick a stone in anger you’ll hurt your own foot. (Korean) -(เตะก้อนหินเวลาโกรธ จะเจ็บเท้าตัวเอง) การทำอะไรเมื่อขาดสติ จะเสียใจภายหลัง
* A word spoken in anger may mar an entire life. (Greek) -การพูดอะไรเวลาโกรธ อาจทำลายชีวิตทั้งชีวิต (จงมีสติ)
* There’s nothing worse than a person looking for a quarrel. (Setian) -ไม่มีอะไรจะเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่คอยแต่จะหาเรื่องทะเลาะวิวาท
 * The teeth that laugh are also those that bite. (West- African) -(หน้าเนื้อใจเสือ) ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ
* The price of your hat isn’t the measure of your brain. (African- American) -รูปกายภายนอกไม้ได้บ่งบอกถึงความสามารถ
* With a stout heart, a mouse can lift an elephant. (Tibetan) -จิตใจที่แข็งแรงสามารถชนะอุปสรรคทั้งมวล
* Don’t hang your hat higher than you can reach. (Belizean) อย่าตั้งความหวังไว้สูงเกินความสามารถของตน
* Beauty without virtue is a flower without perfume. (French) -ความงามที่ไร้คุณค่าเปรียบดังดอกไม้ที่ปราศจากกลิ่นหอม
* Set a thief to catch a thief. -หนามยอกเอาหนามบ่ง
* Little is spent with difficulty, much with ease. (Thai) -เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
* Even a fish wouldn’t get into trouble if it kept its mouth shut. (Korean) -(แม้แต่ปลาก็ไม่เดือดร้อนถ้าไม่อ้าปาก) ปลาหมอตายเพราะปาก
* Nothing is too high for a man to reach, but he must climb with care and confidence. -ไม่มีอะไรไกลเกินฝัน ขอพียงเชื่อมั่นเมื่อก้าวไป
* The truly rich are those who enjoy what thy have. (Yiddish) -ความร่ำรวยที่แท้จริงคือพอใจในใงที่มีอยู่
* Worry often gives a small thing a big shadow. (Swedish) -ความวิตกกังวลทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
* Never spend time with people who don’t respect you. (Maori) -ไม่ควรเสียเวลาเสวนากับคนที่ไม่นับถือเรา
* Don’t call the alligator big-mouth till you have crossed the river. (Belizean) -อย่าวิจารณ์คนอื่นเขาถ้างานยังไม่เสร็จ
* Don’t be so clever; cleverer ones than you are in jail. (Russian) -อย่าทำเป็นอวดฉลาดคนที่ฉลาดกว่าท่านตอนนี้อยู่ในคุก
* Having two ears and one tougue we should listen twice as much as we speak. (Turkish) -จงฟังมากกว่าพูด
* All food fit to eat, but not all words are fit to speak. (Haitian) -อาหารกินได้ทุกเวลา แต่วาจาควรสงวนไว้บ้าง
* Fools are like other folks as long as they are silent. (Danish) -ตราบเท่าที่ไม่เอ่ยวาจา ไม่มีใครรู้ว่าเราโง่
* If you follow a fool, you’re a fool yourself. (Jamaican) -เข้าฝูงหงส์ก็เป็นหงส์ เข้าฝูงกาก็เป็นกา
* The only way to have a friend is to be one. -ถ้าอยากมีเพื่อนก็ต้องทำตัวให้เป็นเพื่อน (รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา)
* Never make a defence or apology before you be excused. (Charles l) -อย่ากินปูนร้อน (อย่าแก้ตัวก่อนถูกกล่าวหา)
 * Neither a borrower nor a lender be. For loan often lose both itself and friends. (William Shakespesre) -ไม่ควรเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ การกู้ยืมทำให้เสียทั้งเงินแล้ะเพื่อน
* Do wrong once and you’ll never hear the end of it. -ทำผิดครั้งเดียว ผู้คนจะพูดถึงไม่มีวันจบสิ้น
* The best way to succeed in life is to act on the advice you give to others. -วิธีที่ดีทีสุดในการสร้างความสำเร็จในชีวิตก็คือปฏิบัติตามคำที่แนะนำผู้อื่น

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Ma Journée


Le mardi,

    Le matin, je me lève à 6 heures 30 et je me brosse les dents. Je prends mon petit déjeuner avec ma famille. Puis, je prends ma douche et je m’habille. Je vais à l’école à 7 heures. À midi, je déjeune à la cantine. À 17 heures, je rentré chez moi. Je fais mes devoirs. Le soir, mes amies et moi dînons. Après, lire une BD. Je me couche tôt, à 23 heures et demie.

Voilà, c’est ma journée !

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

European Football Championship

     ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญที่สุดของทีมชาติในทวีปยุโรป ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปีโดยสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลกของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) โดยแนวคิดของ อองรี เดอโลเนย์ เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น ทั้งนี้ ในการแข่งขัน 5 ครั้งแรก มีทีมชาติร่วมแข่งขันเพียง 4 ประเทศ ต่อมาในการแข่งขันครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) รอบสุดท้ายมีทีมชาติเข้าแข่งเพิ่มเป็น 8 ประเทศ จากนั้นในครั้งที่ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) เพิ่มจำนวนเป็น 16 ประเทศในรอบสุดท้าย และในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ประเทศ ทั้งนี้ การแข่งขันนัดชิงลำดับที่สาม ยกเลิกไปในการแข่งขันครั้งที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์ และประเทศยูเครน

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ ในปี 2012



วัน/เดือน/ปี
ปรากฏการณ์
ช่วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์
การสังเกตการณ์ในประเทศไทย
อุปกรณ์
5 มีนาคม 2555
ดาวอังคารเคลื่อนที่เข้าใกล้โลกมากที่สุด
18:16- 06:41น. ของวันที่ 6 มีนาคม 2555
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
ตาเปล่า,กล้องสองตา,กล้องโทรทรรศณน์
28 เมษายน 2555
ดาวเสาร์อยู้่ในตำแหน่งตรงข้าม
ตลอดทั้งคืน
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
ตาเปล่า,กล้องสองตา,กล้องโทรทรรศณน์
21 พฤษภาคม 2555
สุริยุปราคาวงแหวน
05:00-20:17 น.
สังเกตการณ์ได้จากประเทศไทยในรูปแบบของสุริยุปราคาบางส่วน
แผ่นกรองแสงอาทิตย์,กล้องโทรทรรศน์
4 มิถุนายน2555
จันทรุปราคาบางส่วน
15:48-18:03 น.
สามารถสังเกตการณ์ได้จากประเทศไทย ในช่วงท้ายของปรากฏการณ์
ตาเปล่า,กล้องสองตา,กล้องโทรทรรศณน์
6 มิถุนายน2555
ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์
05:09-11:49 น.
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
กล้องโทรทรรศน์ ติดตั้งแผ่นกรองแสงอาทิตย์
5 สิงหาคม 2555
ยาน Curiosity ในภารกิจ Mars science laboratory ลงจดบนดาวอังคาร
-
ไม่สามารถสังเกตการณ์ได้จากประเทศไทย
ติดตามจากการแถลงการของ นาซา
12-13 สิงหาคม 2555
ฝนดาวตกเพอร์เซอิดหรือฝนดาวตกวันแม
22:00-04:00ของเช้าวันถัดไป
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสภาพท้องฟ้า ทางภาคใต้มีโอกาสได้ชมปรากฏการณ์มากกว่าภาคเหนือและภาคกลาง
ตาเปล่า
14 พฤศจิกายน 2555
สุริยุปราคาเต็มดวง
03:35-06:48 น.
ไม่สามารถสังเกตการณ์ได้จากประเทศไทย
แผ่นกรองแสงอาทิตย์,กล้อง โทรทรรศน์
17-18 พฤศจิกายน 2555
ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงห์โต
00:00 - 04:00 น
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
ตาเปล่า

28 พฤศจิกายน 2555
จันทรุปราคาเงามัว
21:33-23:51 น.
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
ตาเปล่า,กล้องสองตา,กล้องโทรทรรศณน์
3 ธันวาคม 2555
ดาวพฤหัสอยู่ตำแหน่งตรงข้าม
ตลอดทั้งคืน
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
ตาเปล่า,กล้องสองตา,กล้องโทรทรรศณน์
13 ธันวาคม 2555
ฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่
ตลอดทั้งคืนของันที่ 13 และมากที่สุดเวลา 02:00-04:00 ของวันที่ 14
สามารถสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย
ตาเปล่า

 

ตาราง แสดงปรากฏการณ์และเหตุการทางดาราศาสตร์ ในปี .. 2012

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประวัติของ Peter Carl Fabergé ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เช

     Peter Carl Fabergé เกิดเมื่อปีค.ศ. 1846 ในกรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก รกรากตระกูลจริงๆของเขานั้นอยู่ประเทศฝรั่งเศส แต่ในช่วงนั้นฝรั่งเศษมีปัญหาขัดแย้งในนิกายของศาสนาทำให้ตระกูล  แฟเบอร์เชบางส่วนก็ย้ายไปตั้งรกรากทั้งในเยอรมันนี เอสโทเนีย และ รัสเซีย โดยในปีค.ศ. 1842 พ่อของเขา แฟเบอร์เช กุสตาฟได้มาตั้งร้านจิลเวลลี่ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
ด้วยความที่ครอบครัวของเขาเป็นช่างทองตั้งแต่ในอดีต เขาจึงได้ไปศึกษาเล่าเรียนทักษะในด้านงานช่างทองในเยอรมนี หลังจากจบการศึกษามา เขาก็เริ่มต้นนำทักษะของเขามาใช้ในงานจริง ด้วยวัยเพียง 24 ปี เขาได้สานต่อกิจการอัญมณีในรัสเซียที่เซนต์ปีเตอร์เบิร์กอีกครั้งหลังจากพ่อที่ของเขาได้เกษียณและเลิกทำกิจการไป
    ในที่สุดเขาก็ได้ทำธุรกิจใหม่ขึ้นโดยความช่วยเหลือจากน้องชายชื่ออการ์ธอน (Agathon) สู่การเปลี่ยนโฉมหน้าครั้งใหญ่ของงานศิลปะอัญมณี โดยในปีค.ศ 1882 คาร์ลและน้องชายอาการ์ธอนได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่ออกมาอย่างวิจิตร โดยได้แรงบัลดาลใจจากศิลปะของรัสเซียในยุคโบราณ จนทำให้เขาได้รับเหรียญเกียรติยศ                                                                                      (Gold Medal at the Pan-Russian exhibition in 1882) ในฐานะที่ได้เปิดศักราชใหม่แห่งวงการศิลปะอัญมณี
    Peter Carl Fabergé ไม่ได้ทำเพียงแค่งานพวกไข่อีสเตอร์หรือไข่อัญมณี                (Easter egg) ที่เป็นตัวสร้างชื่อเสียงแก่ให้เขาเท่านั้น เขายังแบ่งทำงานเล็กๆ อีกอย่างเช่น เครื่องโต๊ะเงิน อัญมณีประดับ ของกระจุกกระจิกเล็กๆ สไตล์ยุโรป งานแกะสลักสไตล์รัสเซีย โดยงานอัญมณีของแฟเบอร์เชนั้นก็ได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรหรูหราประดับด้วยสิ่งมีค่าและสิ่งที่มีค่าค่อนข้างสูงอย่าง ทอง เงิน มาลาไคต์ ลาพิซ เลซูลี และเพชร โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะในการตกแต่งสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าหลุยส์ที่16 ศิลปะแบบคลาสสิค เรเนสซองค์ บาโรก โรโคโค และ อาร์ทนูโว รวมทั้งอิทธิพลจาศิลปะของรัสเซียด้วย ผลงานเลื่องชื่ออย่างไข่อีสเตอร์ก็เป็นที่หมายปองของเหล่างราชวงศ์โรมานอฟ รวมทั้งราชวงศ์ในยุโรปและเอเชีย
ในปีค.ศ. 1920 ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เช ก็ได้เสียชีวิตด้วยวัย 74 ปี ที่เมืองลูเซิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยศพของเขาได้ฝังไว้ข้างภรรยาอันเป็นที่รักชื่อ ออกุสตา อกาธอน แฟเบอร์เช (Augusta Agathon Faberge) ฝังไว้ที่ Cimetière du Grand Jas ที่เมืองคาร์ล ในฝรั่งเศส
 

ตัวอย่างผลงานของ Peter Carl Fabergé Eggs

 ผลงานของ Peter Carl Fabergé




 ผลงานของ Peter Carl Fabergé



วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ที่มาของคำว่า salary

ร่างกายของสิ่งมีชีวิตไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ หรือพืช ต้องการเกลือ เกลือจึงเป็นสิ่งมีค่าสำหรับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ  ถึงขนาดมีสงครามรบราฆ่าฟันกันเพื่อชิงบ่อเกลือ
            ในรัสเซียไม่ว่ายุคโบราณหรือสมัยนี้  ใครทำเกลือหกบนโต๊ะอาหารถือว่าเป็นมารยาทที่แย่มาก พวกรัสเซียที่เชื่อโชคลางถึงขนาดประกาศ   ถ้าเกลือหก  ก็ให้ทำนายทายทักว่า   คนในบ้านจะทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง
            salt  ซอลท์    หมายถึง    เกลือ    ทหารโรมันในสมัยโบราณที่ไปรบ  นอกจากจะได้ค่าจ้างแล้ว  ยังได้รับเงินอีกจำนวนหนึ่งให้เอาไว้ใช้ซื้อเกลือกิน
            เกลือในภาษาละตินคือ  sal  เงินค่าเกลือคือ  salarium ซาลาริอุ้ม หรือ salt  money
            ทหารที่ไปรบบางแห่งก็ได้ค่าเกลือแพง  บางแห่งก็ได้ค่าเกลือถูก  แล้วแต่ค่าครองชีพของแต่ละท้องถิ่นที่ไม่เหมือนกัน
            เงินค่าเกลือ หรือ salarium  ก็พัฒนามาเรื่อยจนถึงสมัยพระเจ้าออกัสตัสแห่งกรุงโรม   salarium  ยังรวมหมายถึงค่าจ้าง  ค่าใช้จ่ายของทหารประจำการที่มีรอบการจ่ายแน่นอน   บางทีจ่ายเป็นรายสัปดาห์  รายเดือน
            ภาษาพัฒนามาเรื่อยจน  salarium   กลายมาเป็น    salary แซลละรี   ที่หมายถึง   เงินเดือน   ในปัจจุบัน

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

100 คณะ-สาขา ที่คนสมัคร Admissions ปี 54 มากที่สุด

มาดูกันว่าเมื่อปีการศึกษา 2554  สาขาไหนคนสมัครเยอะมากที่สุด  ใครสมัครสาขาเหล่านี้น้ำตาอาจจะนองกันเลยทีเดียวเพราะคะแนนเพิ่มขึ้นเยอะมากจ้า ลองมาดูเป็นข้อมูลเพื่อนำไปวางแผนจัดอันดับในปีนี้กันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

การอับปางของเรือไททานิก






วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 ขณะเดินทางอยู่ทางใต้ของแกรนด์แบงค์ ของนิวฟันด์แลนด์ 22 นาฬิกา 45 นาที อุณหภูมิภายนอกเรือ ลดลงอย่างรวดเร็วจนเกือบถึงจุดเยือกแข็ง และน้ำทะเลรอบๆ ก็นิ่งลงจนแทบไม่มีคลื่นเลย เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครในเรือที่รู้สึกถึงความผิดปกติ ผู้โดยสารที่อยู่บนดาดฟ้าก็กลับลงไปในเรือและใช้ชีวิตต่อตามปกติ[23]
22 นาฬิกา 50 นาที ทะเลสงบไร้ระลอก มหาสมุทรเงียบสงัด คงมีแต่เสียงหัวเรือแหวกน้ำทะเล เรือเดินสมุทรแคลิฟอร์เนียนซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้ส่งข่าวเตือนภัยแก่ไททานิกว่าเรือแคลิฟอร์เนียนต้องหยุดเรือไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เพราะถูกห้อมล้อมไปด้วยน้ำแข็ง
23 นาฬิกา 40 นาที ไททานิกชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง[1] ที่ 41 องศา 46 ลิปดาเหนือ 50 องศา 14 ลิปดาตะวันตก
ไม่กี่นาทีต่อมาวิศวกรเดินลงไปตรวจดูความเสียหาย และรายงานมาว่า เรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งทางกราบขวาด้านหัวเรือ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ และห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรกก็เกิดรอยรั่ว ซึ่งวิศวกรบอกว่า หัวเรือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเรือที่สามารถรับรอยแตกต่อเนื่องจากหัวเรือได้ 4 ห้อง ไม่ใช่ 5 ห้องดังที่เป็น ดังนั้น น้ำจะท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้นF เริ่มไหลขึ้นชั้นE น้ำก็จะล้นกำแพงกั้นน้ำเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ และจมในที่สุด ดังนั้น เรือกำลังจะจม โดยหัวเรือจะจมลงไปก่อน โดยเรือเหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมง[3][25]
0 นาฬิกา 0 นาที ของวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 น้ำเริ่มท่วมส่วนที่เป็นห้องพักของผู้โดยสารชั้นสาม ทำให้เริ่มเกิดข่าวลือกันในเรือว่าเรือกำลังจะจม แต่ผู้โดยสารส่วนมากที่ได้ข่าวมักยังไม่เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เรือไททานิกถูกโปรโมตอย่างดิบดีว่าไม่มีวันจม
0 นาฬิกา 5 นาที กัปตันสั่งให้เตรียมเรือสำรองไว้ เตรียมอพยพผู้คนโดยด่วน , ไปบอกเจ้าหน้าที่วิทยุให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป และบอกพนักงานให้ไปปลุกผู้โดยสาร ให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพ และทำร่างกายให้อุ่นๆ และไปที่ดาดฟ้า ทำให้ข่าวลือเรื่องเรือกำลังจะจมแพร่ไปทั่วเรือ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อ ส่วนใหญ่ยังนั่งกินเลี้ยง เล่นไพ่ ดื่มไวน์อย่างใจเย็น และเมื่อขึ้นไปที่ดาดฟ้า เจออากาศหนาวๆ ภายนอก ก็กลับเข้าไปข้างในอีก ในช่วงเวลานี้ ผู้โดยสารดูไม่ตื่นตัว และไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะพบนั้นเลวร้ายเพียงใด[3]
ต่อมาราว 5-15 นาที เรือ อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย (RMS Carpathia) ของสายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) รับสัญญาณขอความช่วยเหลือของไททานิกได้ และตอบกลับ โดยบอกว่าเร่งเครื่องเต็มที่แล้ว และคาร์พาเธียจะไปถึงเรือไททานิกภายใน 4 ชั่วโมง แต่นั่นนานเกินไป วิศวกรบอกว่าเรือลอยอยู่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงแน่ ดังนั้น ไททานิก จึงต้องพึ่งตนเอง[26]
0 นาฬิกา 25 นาที เรือสำรองทุกลำพร้อมอพยพผู้โดยสาร กัปตันสั่งให้เริ่มอพยพโดยให้สตรีและเด็กลงเรือไปก่อน แต่ลูกเรือไม่รู้ว่าเรือสำรองจุผู้คนได้เท่าไร จึงปล่อยเรือบดออกทั้งๆที่ยังใส่คนไม่เต็มที่ ทำให้แทนที่เรือสำรองจะช่วยชีวิตได้ 1,178 คนตามที่มันถูกออกแบบ มันกลับรับผู้โดยสารมาเพียง 712 คนเท่านั้น[3]
0 นาฬิกา 45 นาที เรือสำรองลำแรกถูกปล่อยลงมา และเมื่อผู้โดยสารได้รับข่าวการปล่อยเรือชูชีพ และเห็นเจ้าหน้าที่ต่างทำงานอย่างเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ก็เริ่มเชื่อข่าวที่ลือกันในเรือว่า เรือกำลังจะจม[27]
0 นาฬิกา 50 นาที พลุขอความช่วยเหลือเริ่มถูกยิงขึ้นฟ้า[3]
1 นาฬิกาตรง ผู้โดยสารและลูกเรือส่วนใหญ่เชื่อแล้ว ว่าเรือที่พวกเขาอยู่นั้นกำลังจะจม ความวุ่นวายและตื่นตระหนกเริ่มเกิดขึ้น ลูกเรือที่ทำหน้าที่ปล่อยเรือสำรองเริ่มเจอแรงกดดันจากการที่ผู้โดยสารแย่งกันเป็นคนถัดไปที่จะได้ขึ้นเรือสำรอง เกิดเป็นความวุ่นวายเล็กๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารชายหลายท่าน แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยให้ภรรยาและลูกขึ้นเรือ แล้วตนเองถอยไป[28]
1 นาฬิกา 15 นาที น้ำท่วมขึ้นมิดหัวเรือ และข่าวการที่น้ำท่วมมาจนมิดหัวเรือ ทำให้ผู้โดยสารเริ่มตื่นตระหนก เพราะเคยเห็นว่าหัวเรือนั้นสูงเพียงใด ดังนั้นผู้โดยสารและลูกเรือจึงตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อรู้ข่าว เพราะคิดว่า เรือจมเร็วกว่าที่คิด ทำให้ผู้โดยสารที่ไม่ใช่สุภาพบุรุษแย่งกันขึ้นเรือ ทำให้ความวุ่นวายทวีความรุนแรงขึ้น[3]
1 นาฬิกา 25 นาที ความวุ่นวายทวีความรุนแรงขึ้นมาก เจ้าหน้าที่เริ่มใช้ปืนในการควบคุม เรือบดถูกเจ้าหน้าที่ปล่อยลงอย่างรีบร้อน เพราะความวุ่นวายจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการใส่คนลงไปในเรือ และในการปล่อยเรือสำรองลงไป ในขณะที่เรือเองก็จมลงเรื่อยๆ เหล่านักดนตรีได้แสดงสปิริตอย่างน่าชื่นชม พวกเขาพยายามเล่นดนตรีเพื่อผ่อนคลายความตื่นตระหนกของคนบนเรือตลอดเวลา เมื่อห้องโถงด้านหัวเรือจมต่ำลงก็ย้ายไปเล่นที่ดาดฟ้าด้านท้ายเรือ และบรรเลงไปจนนาทีสุดท้ายของชีวิต
1 นาฬิกา 45 นาที น้ำเริ่มเข้าท่วมบริเวณระเบียงด้านหัวเรือ ในขณะนี้ ชั้น A ด้านหัวเรือ เหลือความสูงจากผิวน้ำ 3 เมตร
1 นาฬิกา 55 นาที เรือสำรองทุกลำถูกปล่อยออกไปหมด เจ้าหน้าที่จึงเตรียมเรือสำรองแบบพับได้ และเริ่มลำเลียงผู้คนออกจากเรือต่อ[3]
2 นาฬิกาตรง น้ำเริ่มไหลเข้าท่วมดาดฟ้าเรือบริเวณส่วนหัว ท่วมห้องบังคับการเรือ และเริ่มเข้าท่วมลึกเข้าไป[3]
2 นาฬิกา 5 นาที เรือสำรองทุกลำถูกปล่อยออกไปจนหมด แต่ยังเหลือคนมากกว่า 1,500 คนบนเรือ และท้ายเรือเริ่มยกตัวขึ้น เห็นใบจักรขับเคลื่อนลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน และยกขึ้นเรื่อยๆ และทางด้านหัวเรือ น้ำก็เข้าท่วมสูงมิดห้องบังคับการเรือ ท้ายเรือยกตัวขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เรือเอียงอย่างน่ากลัว ผู้โดยสารหวาดกลัว บางคนถึงกับโดดลงมาจากเรือเพื่อหวังจะว่ายไปขึ้นเรือชูชีพด้านล่าง แต่ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตก่อนจะว่ายไปถึง[29]
เพราะในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ที่อยู่บนเรือสำรอง ได้นำเรือสำรองทุกลำให้ออกห่างจากตัวเรือไททานิกให้ไกลที่สุด เพราะไททานิกที่กำลังจมอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจจะดูดเรือสำรองจม หรืออาจเกิดอันตรายอย่างอื่น ที่สามารถทำให้เรือสำรองจมได้ เหล่าเจ้าหน้าที่ พยายามนำเรือสำรองออกไปให้ไกลที่สุด ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจในการโดดมาจากเรือไททานิก แล้วคิดว่ายไปขึ้นเรือสำรอง ส่วนใหญ่จึงไม่รอด
2 นาฬิกา 18 นาที ระบบไฟฟ้าบนเรือหยุดทำงาน ไม่นานต่อมา เรือก็ขาดออกเป็นสองท่อน (จุดที่ฉีกขาดอยู่ระหว่างปล่องไฟปล่องที่ 3 กับปล่องที่ 4) แต่พื้นของชั้นล่างสุดยังไม่ขาดออกจากกัน การหักครั้งนี้ ทำให้ส่วนหัวเรือจมลงอย่างรวดเร็ว ดึงส่วนท้ายเรือขึ้นมา ส่งผลให้ส่วนท้ายเรือยกตั้งฉากกับพื้นน้ำ และเริ่มจมลงในแนวดิ่ง[30]
2 นาฬิกา 20 นาที ของวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือทั้งลำจมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ[1] ผู้โดยสารจำนวนมากลอยคออยู่ด้วยเสื้อชูชีพ แต่น้ำทะเลในขณะนั้นเย็นจัดเกือบ 0 องศาเซลเซียส ผู้โดยสารและลูกเรือที่ขึ้นเรือสำรองไม่ทัน ถูกทิ้งให้ลอยคอบนน้ำที่เย็นยะเยือก ในขณะที่ทางเรือสำรองที่ลอยอยู่ด้านนอก ก็พยายามจะเข้าไปช่วย แต่ไม่ได้ เพราะหากผลีผลามเข้าไป คนที่ลอยคออยู่ในน้ำที่เย็นเยือกจะแย่งกันขึ้นเรือสำรอง เพื่อที่จะหลุดพ้นจากน้ำอันเย็นหนาว ซึ่งนั่นจะทำให้เรือสำรอง ถูกผู้ที่ลอยคออยู่รุมจนจมลงไปด้วย ดังนั้น จึงต้องรอ ปล่อยให้ผู้ที่ลอยคอหนาวตายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือผู้รอดน้อยพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้โดยที่เรือสำรองจะไม่ถูกรุมจนจม
3 นาฬิกาตรง เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือเงียบลง รวมเป็นเวลา 40 นาที ที่ผู้ที่ลอยคออยู่ตายไปจนเกือบหมด เจ้าหน้าที่จึงส่งเรือสำรองมาช่วย แต่ไม่ค่อยทันนัก ส่วนใหญ่ ตายหมดแล้ว เรือสำรองที่เข้าไปช่วยเหลือนั้น นำผู้โดยสารที่ยังไม่เสียชีวิตขึ้นมาได้เพียง 14 คนในสภาพหนาวสั่นทรมาน และในจำนวนนี้ 3 คนเสียชีวิต รวมแล้วเหลือผู้ที่รอดจากการถูกนำมาจากน้ำเย็นเฉียบเพียง 11 คน[31]
4 นาฬิกา 10 นาที อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย[1] ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือสำรองทั้งหมด และพาสู่นิวยอร์ก[32] ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1912 จากนั้น ได้มีการสรุปยอดและรายชื่อของผู้รอดและผู้เสียชีวิต ดังนี้[33]

กลุ่มคน
จำนวนที่โดยสารมาในเที่ยวนี้จำนวนที่รอดจำนวนที่เสียชีวิต
ลูกเรือ
899
214685
ผู้โดยสารชั้น Third Class710174536
ผู้โดยสารชั้น Second Class285119166
ผู้โดยสารชั้น First Class329199130
รวมทั้งหมด2,2247101,514