วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

สะพาน ที่บรรจุคลองไว้บนสะพาน


สะพาน ที่บรรจุคลองไว้บนสะพาน ( Magdeburg Water Bridge )

Magdeburg Water Bridge คือ หนึ่งในสุดยอดงานทางวิศวกรรม ที่ได้สร้างสะพาน ที่บรรจุคลองไว้บนสะพาน ทำให้บังเกิดสิ่งเหลือเชื่อทางธรรมชาติ คือ คลองที่ยกตัวขึ้น 6.25 เมตร ข้ามแม่น้ำด้านล่าง

รายละเอียด เกี่ยวกับ สะพาน Magdeburg Water

สะพานคลองนี้ได้ริเริ่มตั้งแต่ปี 1938 จนเรื่อยมาจนในปี 1938 การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามสงบลงเยอรมันถูกแบ่งออกเป็น เยอรมันตะวันออก และเยอรมันตะวันตก โครงการจึงหยุดอย่างไม่มีกำหนด จวบจนเยอรมันทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง โครงการจึงเริ่มก่อสร้างอีกครั้ง
  • สะพานเริ่มก่อสร้างในปี 1997 ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2003
  • ลักษณะของสะพาน เรียกว่า สะพานคลอง ( Canal bridge ) คือสะพานที่สร้างเป็นรูปตัวยู ภายในบรรจุน้ำเสมือนเป็นคลอง เพื่อใช้ให้เรือสัญจร
  • สะพานคลองนี้ยกตัวข้ามแม่น้ำ Elbe River
  • สะพานคลองนี้เชื่อมต่อระหว่างคลอง Elbe-Havel และคลอง Midland
  • คลองทั้งสองไหลมาไกล้กันบริเวณเมือง Magdeburg
  • สะพานยาว 918 เมตร ( 690 เมตรอยู่บนฝั่ง และอีก 228 เมตรอยู่ในแม่น้ำ Elbe )
  • สะพานกว้าง 43 เมตร ส่วนที่เป็นพื้นน้ำกว้าง 32 เมตร
  • น้ำในสะพานลึก 4.25 เมตร
  • ท้องสะพานคลอง ยกตัวสูงจากแม่น้ำ Elbe อยู่ 6.25 เมตร
สะพานคลอง
รูปนี้มองจากฝั่งขึ้นไปยังด้านข้างสะพาน Magdeburg Water Bridge หากเห็นเช่นนี้คงไม่มีใครคาดคิดว่าด้านบนจะมีคลองอีกสายไหลผ่าน
ทำไม น้ำในคลองจึงยกตัว ขึ้นเหนือแม่น้ำได้

ตามกฎฟิสิกส์พื้นฐาน ระดับน้ำในตำแหน่งเดียวกันต้องสูงเท่ากัน หากไม่ถูกรบกวนด้วยพลังานอื่นใด หรือถูกกักในพื้นที่จำกัด
  • สาเหตุ ที่น้ำยกตัวขึ้นได้นั้นเกิดจาก โครงสร้างที่เรียกว่า Rothensee boat lift
  • Rothensee boat lift เป็นฝายที่สร้างขวางคลองไว้หลายตัว โดยระดับน้ำด้านเหนือ และด้านใต้จะมีระดับสูงแตกต่างกัน
  • เรือแล่นผ่านฝายด้านใต้เข้าระหว่างฝาย 2 ตัว ฝายด้านใต้จะปิด และเริ่มสูบน้ำเข้าระหว่างฝายทั้งสองตัว เพื่อยกระดับน้ำให้สูงเท่าน้ำด้านเหนือฝาย
  • เมื่อน้ำยกระดับสูงจนเท่าระดับน้ำที่เหนือฝาย ฝายด้านเหนือจะเปิดออกให้เรือแล่นออกไป
  • ด้วยวิธีการนี้ น้ำใน สะพานคลอง Magdeburg จึงสามารถยกตัวขึ้นสูงข้ามแม่น้ำได้
ฝาย Rothensee boat lift
รูปฝาย Rothensee boat lift สำหรับยกระดับน้ำเพื่อให้เรือ สัญจรผ่านไปมาได้ระหว่างคลองมีระดับน้ำต่างกัน

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตำนานแปลก จาก 7 สถานที่แปลก ของโลก


โลกของเรา คือ โลกแห่งตำนาน
 ทุกสถานที่ ทุกเหตุการณ์ ล้วนมีจุดกำเนิด บางอย่างเหลือเชื่อ สุดจินตนาการ

สถานที่แปลก : 7. Chocolate Hills, Bohol, Philippines.

ข้อมูล: Chocolate Hills แห่งนี้ เรียงรายครอบคลุมพื้นที่ราว 50 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเนินเขาแบบเดียวกันกว่า 1,200 ลูก ท่ามกลางหญ้าเขียวขจี และเนินเขาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในช่วงฤดูแล้ง
ตำนาน: นานมาแล้ว มีควายยักษ์ ตัวเท่าเนินเขา เข้ามากัดกินพืชผักในทุ่งนาของชาวบ้านเสียหาย ชาวบ้านจึงช่วยกันคิดกลอุบายโดยหาอาหารบูดเน่ากองโตมาให้ควายยักษ์กินแทน เจ้าควายกลืนกินด้วยความตะกละและทันใดนั้นก็เกิดอาการท้องเสียอย่างรวดเร็ว จนวิ่งพล่าน ทิ้งกองอุจจาระเรี่ยราดไปทั่ว เมื่อมูลควายแห้งก็จำแลงเป็นเนินเขาช็อกโกแลตในบัดดล อืมม..หอมหวนมั้ย!?
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อย่ารับของจากศัตรูหรือคนแปลกหน้า

สถานที่แปลก : 6. Tsingy, Madagascar

ข้อมูล: ใกล้กับชายฝั่งด้านตะวันตกของ Madagascar เป็นที่ตั้งของเขาหินปูน Tsingy ซึ่งมีรูปร่างประหลาด แหลมคมคล้ายกับเข็มยักษ์
ตำนาน: Sifaka (Sifaka คือสัตว์ในตระกูลลีเมอร์ อาศัยอยู่ที่ Madagascar) ได้รับของขวัญพิเศษจากเทพแห่งจันทรา ด้วยการเนรมิตสีขนให้เปล่งประกายเหมือนแสงแห่งจันทร์ ทำให้พวกมันรู้สึกภาคภูมิใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกัน “ขนเรืองแสง” อันโดดเด่น ก็ทำให้ Sifaka เป็นที่สังเกตและมองเห็นได้ง่าย ไม่ปลอดภัยจาก เจ้า  Fossa จอมเจ้าเล่ห์ (แมวนักล่า) ในไม่ช้า พวกพ้อง Sifaka ก็ถูกกำจัดทิ้งอย่างน่าใจหาย เจ้าตัวที่เหลืออยู่จึงหาหนทางแห่งการรอดชีวิต ด้วยการสร้างที่หลบภัยในป่าหิน และขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งจันทรา ด้วยความสงสาร เทพแห่งจันทราจึงเสกป่าหินธรรมดาให้กลายเป็นหินเข็มยักษ์ ซึ่งมีความแหลมคมมาก หากปีนป่ายไม่ระวัง มีดับอนาถขาดสองท่อน Tsingy แห่ง Madagascar จึงเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัยได้ยาก แต่ก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัยจากพวกนักล่าแน่นอน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: สถานที่ที่อันตรายที่สุดอาจเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

สถานที่แปลก : 5. Bear Rock (Devils Tower Monument), USA

ข้อมูล: ภูเขาหินยักษ์ Bear Rock (อนุสาวรีย์ปีศาจ) ซึ่งสูงตระหง่านจากพื้นดิน มีลักษณะพื้นผิวประหลาดเป็นร่องลึกยาวเป็นเส้นรอบด้าน
ตำนาน: กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้หญิง 7 คน เข้าไปวิ่งเล่นในป่า แต่กลับถูกไล่ล่าจากกลุ่มหมียักษ์ เด็กๆ จึงพากันหนีด้วยการปีนขึ้นเนินหินเล็กก้อนหนึ่ง ขณะเดียวกันหมีใจโหดก็ไม่ลดละ ใช้กรงเล็บจิกไต่เพื่อตามขึ้นไปหวังจะจับตัวให้ได้ เด็กหญิงช่วยกันสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และก็เป็นผล อำนาจลึกลับเสกเนินหินก้อนเล็กให้กลายเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้า เหล่าหมีร้ายค่อยๆ ลื่นไถล ครูดตกลงไปทีละตัว ทิ้งไว้เพียงรอยเล็บรอบด้านของภูเขา และเมื่อเด็กหญิงทั้ง 7 ขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็กลายร่างเป็น กลุ่มดาว Pleiades หรือ seven sisters ในบัดดล (บ้านเราก็คือ ดาวลูกไก่ นั่นเอง)
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ถ้าคิดจะสู้กับหมี ต้องแน่ใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง

สถานที่แปลก : 4. Socotra Island, Yemen

ข้อมูล: Socotra Island แห่งนี้ อุดมไปด้วยสัตว์ป่าและพืชหายาก กว่า 700 สายพันธุ์
ตำนาน: บนเกาะเล็กกลางทะเลอาหรับ พระเจ้าผู้สร้างได้รังสรรค์โลกใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตสวยงามน่าหลงใหล และ “มังกร” คือสัตว์ที่บรรจงสร้างให้งดงามที่สุด เปรียบได้กับ ราชาแห่งเกาะ รูปร่างอัศจรรย์แต่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความโหดร้าย หลักจากนั้นหลายปี พระเจ้าลงมาเยือนเกาะแห่งนี้ แต่กลับไม่พบสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่ เพราะถูกเจ้ามังกรเขมือบไม่เหลือซาก ด้วยความโกรธา พระเจ้าจึงเสกมังกรยักษ์ให้กลายเป็นต้นไม้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Dragon tree หากลองกรีดเปลือกไม้ เลือดของมังกรจะไหลรินออกมา
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อย่าฝากปลาย่างไว้กับแมว

สถานที่แปลก : 3. Uluru (Ayer’s Rock), Australia

ข้อมูล: Uluru โขดหินสีแดงขนาดมหึมา ไพศาลกว่าเกาะ ตั้งอยู่ใจกลางประเทศออสเตรเลีย
ตำนาน: ชนเผ่าผู้อยู่อาศัยกำลังจะตาย เนื่องจากสภาพอากาศกลางทะเลทรายอันร้อนแรง แสงอาทิตย์สาดบดบังเมฆ น้ำระเหยแห้งเหือด มวลมนุษย์จึงสวดอ้อนวอน “เทพแห่งสายฝน” ด้วยความเมตตา เธอจึงสัญญากับทุกคนว่าจะสร้าง “ทะเลสาบอันกว้างใหญ่” ซึ่งแสงแดดจะไม่ส่องถึง จึงปล่อยสายฝนสาดกระหน่ำ แต่กลับเกิดการเติบโตของก้อนหินยักษ์กลางทะเลทราย ท่ามกลางความสงสัยของชนเผ่า แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ถึงกระบวนการทางธรรมชาติ ว่าแท้จริงแล้วนั้น โขดหิน Uluru เกิดจากปริมาณน้ำฝนจำนวนมากที่ไหลและแทรกตัวอยู่ในผืนทราย ก่อตัวกันดันมวลดินทรายจากรากลึกให้ผุดขึ้นสู่ท้องฟ้า หรืออีกนัยหนึ่ง Uluru คือทะเลสาบที่ถูกแปรสภาพ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ธรรมชาติมีความลับมากมายที่จะบอก แต่จะมีสักกี่คนที่ตั้งใจฟัง

สถานที่แปลก : 2. Cave of Crystals, Naica, Mexico

ข้อมูล: ถ้ำคริสตัล แห่ง Mexico ประกอบด้วย กลุ่มคริสตัลธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สุกสว่างด้วยลำแสงจากแร่ยิปซั่ม ซึ่งยาวถึง 36 ฟุต
ตำนาน: ชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่งได้ช่วยชีวิตเด็กหญิงซึ่งกำลังจะจมน้ำ และพบว่าเธอไม่ใช่เด็กหญิงธรรมดา แต่กลับเป็น “เทพธิดาแห่งดวงดาว” เหมือนฟ้ามาโปรดชาวนา เทพธิดามอบของตอบแทนเป็นคริสตัลอันล้ำค่าจำนวนมหาศาล ชาวนาดีใจอย่างล้นเหลือ และกลัวว่าใครจะมาขโมยไป เขาจึงขอร้องให้เธอช่วยซ่อนสมบัติของเขาไว้ในถ้ำลึก ห่างไกลจากสายตาผู้คน เม่ือเวลาผ่านไป ชาวนาผู้นั้นแก่ตัวลงและความจำเริ่มเลอะเลือน จนกระทั่งมาถึงวันสุดท้าย เมื่อเขากำลังจะตาย เขาเรียกญาติทุกคนมาเพื่อจะบอกเรื่องสำคัญนี้ แต่ความทรงจำกลับไม่มีเหลือ คริสตัลเหล่านั้นจึงถูกฝังไว้ในถ้ำตลอดกาล
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ทรัพย์สินมากมาย ตอนตายเอาไปไม่ได้สักชิ้น

สถานที่แปลก : 1. Blue Hole, Belize

ข้อมูล: Blue Hole หลุมสีฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหลุมลึกกลางทะเล และเป็นหนึ่งในเขตดำน้ำที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก
ตำนาน: ย้อนกลับไปเมื่อครั้งโลกถูกปลกคลุมด้วยน้ำแข็ง มีกลุ่ม “เสือเขี้ยวโง้ง” อาศัยอยู่ในแอ่งถ้ำลึก ซึ่งเสือใช้เป็นหลุมหลบภัยจากศัตรูร้าย และกลายเป็นที่พำนักจากรุ่นสู่รุ่น จากนั้นหนึ่งปีสัตว์ป่าอื่นๆ ผ่านมาเตือนพวกเสือถึงภัยทะเลที่กำลังจะมาถึง ให้ย้ายถิ่นฐาน แต่ไม่เป็นผล เสือเขี้ยวโง้งไม่เชื่อคำลือต่างๆ และมั่นใจในความปลอดภัยและแข็งแรงของถ้ำ ต่อมาด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้น สัตว์น้อยใหญ่จึงตื่นตระหนกพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น พวกเสือเงยหน้ามองจากถ้ำ และนึกขำ ไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมาถึงคราวเคราะห์ คลื่นยักษ์จากมหาสมุทรถาโถมเข้าใส่และท่วมมิดแอ่งถ้ำที่พวกเสืออาศัยอยู่ภายในเวลาไม่กี่วินาที ดับอนาถทุกชีวีต “เสือเขี้ยวโง้ง”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อย่าทำตัวเป็นกบในกะลา 

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปริศนาเรือโนอาห์


ในพระคัมภีร์ของสามศาสนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลางอันได้แก่ศาสนา จูเดอิซึ่ม คริสต์ อิสลามได้ปรากฏเรื่องราวของเหตุการณ์อุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชื่อของ “โนอาห์ (Noah)” ยังคงถูกจารึกและเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้เรื่องราวนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับชนรุ่นหลังว่า เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงเช่นนั้นจริงหรือไม่? เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น ณ ที่ใด ?
ดร. โรเบิร์ต บัลลาร์ด (Dr. Robert Ballard)ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจใต้ท้องทะเลซึ่งเป็นผู้ที่ได้จารึกประวัติศาสตร์การค้นพบอันยิ่งใหญ่ โดยการค้นพบซากเรือไททานิค (Titanic) ที่จมสงบนิ่งอยู่ ณ พื้นมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean)ได้เดินทางมายัง “ทะเลดำ (Black Sea)” ตามคำเชิญชวนอันแสนเย้ายวนใจของผืนน้ำที่ได้ซุกซ่อนความลับเอาไว้อย่างมากมายการเดินทางของ ดร. บัลลาร์ด เริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะค้นพบซากเรือไม้โบราณที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อยู่อย่างสมบูรณ์ภายใต้น้ำทะเลที่เป็นพิษด้วย “ไฮโดรเจน ซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide)”ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ปลวกแห่งทะเลจอมทำลายเนื้อไม้ซึ่งจะกัดกินทุกอย่างที่เป็นสิ่งชีวภาพแรงปรารถนาของ ดร. บัลลาร์ด ได้ถูกจุดประกายโดยหนังสือของนักสมุทรศาสตร์ที่มีนามว่า “วิลลาร์ด บาสคอม (Willard Bascom)” ซึ่งได้บรรยายองค์ประกอบอันสุดแสนพิเศษของทะเลดำไว้ในหนังสือเล่มนั้น
แต่ก่อนหน้าการเดินทางเพียงไม่นาน ความสนใจของ ดร. บัลลาร์ด ก็ถูกหันเหไปโดยหนังสือของสองนักธรณีวิทยาผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ที่มีนามว่า “วิลเลี่ยม ไรอัน” และ “วอลเตอร์ พิทแมน” ซึ่งได้นำเสนอทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดของทะเลดำแห่งนี้
ทฤษฎีดังกล่าวได้เสนอถึงจุดกำเนิดของทะเลดำว่าทะเลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งผู้ที่รอดชีวิตก็ได้บอกเล่าเรื่องราวในครั้งนั้นสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น จนกระทั่งได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร – ซึ่งก็คือเรื่องราวของ โนอาห์ และเรือของเขา
ไรอัน และ พิทแมน ได้สันนิษฐานถึง การเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ในปลายยุคน้ำแข็งสุดท้าย เมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน พวกเขาได้ค้นพบตำนานที่มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวของโนอาห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันในตะวันออกกลาง ก่อนที่เรื่องของโนอาห์จะถูกบันทึกไว้เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาล
ก่อนหน้าการบันทึกตำนานเรื่องโนอาห์ราว 1 พันปี ชาวสุเมเรียน (Sumerians) ได้บันทึกมหากาพย์เรื่อง “กิลกาเมช (Gilgamesh)” และมีการบรรยายถึงอุทกภัยครั้งร้ายแรง ในเรื่อง กิลกาเมชได้พบกับผู้รอดชีวิตจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ได้รับคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าว่า จะมีน้ำท่วมเกิดขึ้น, จงเร่งสร้างเรือ, ให้นำครอบครัว และฝูงสัตว์มาไว้ที่เรือ และอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยฝนและลมพายุ ที่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นผู้รอดชีวิต อันได้แก่ ครอบครัว และเรือของเขา รวมถึงเหล่าสรรพสัตว์ที่ได้โดยสารมาบนเรือด้วย
เราจะเห็นได้ถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเรื่องราวของ กิลกาเมช และ โนอาห์ ซึ่งต่างก็กล่าวถึงชายที่ถูกสั่งให้สร้างเรือขนาดใหญ่ และนำสัตว์ขึ้นไปไว้บนเรือ, อุทกภัยที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงน้ำท่วมที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่วโลก แม้แต่เรื่องของการปล่อยนกพิราบ สิ่งนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้ ไรอัน และ พิทแมน ให้ความสนใจกับทะเลในแถบตะวันออกกลาง โดยครั้งนี้ได้พุ่งเป้ามาที่ ทะเลดำ
ไรอัน และ พิทแมน เคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ในปีคริสตศักราช 1993 ในการเดินทางไปตรวจสอบทะเลดำ ซึ่งก็ทำให้พวกเขา ได้พบสิ่งที่ยืนยันว่า ทะเลดำซึ่งแต่เดิมเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของปัจจุบัน ซึ่งในยุคน้ำแข็งสุดท้าย แผ่นดินนั้นอุ่นขึ้น จึงทำให้ทะเลสาบเหือดแห้งลงไป และได้ทิ้งคราบไว้ นั่นก็คือ การพบคราบดังกล่าวที่ความลึกลงไป 90 เมตร, 110 เมตร และลึกที่สุดอยู่ที่ 156 เมตร ใต้ท้องทะเลดำ
นอกจากนี้ เขายังพบหลักฐานการปรากฏตัวของสัตว์น้ำเค็ม ในที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดอีกด้วย ผลจากการพิสูจน์นั้นแสดงออกมาว่า หอยน้ำเค็มล้วนแต่ปรากฏตัวขึ้นทุกระดับความลึกของทะเลดำ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือเมื่อ 7,600 ปีก่อนจากทฤษฎีของ ไรอัน และ พิทแมน ก็ทำให้ภารกิจของ ดร. บัลลาร์ด ณ ทะเลดำแห่งนี้มีถึง 2 ภารกิจด้วยกันนั่นก็คือการค้นหาหลักฐานของการที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และการค้นหาซากเรือโบราณ
เขาเริ่มต้นด้วยการสำรวจแนวชายฝั่งเก่าแก่ ด้วยการใช้โซน่าร์กวาดผ่านไปทั่วบริเวณ โดยมีเป้าหมายในการค้นหารูปแบบของสิ่งก่อสร้าง โครงสร้าง หรือรั้ว และอื่นๆ ที่จะดึงดูดให้เข้าไปค้นหาเพิ่มเติม
แล้วเขาก็ได้รับสัญญาณเสียงสะท้อนโซนิก ตรวจพบวัตถุที่ก้นทะเล เขาจึงตัดสินใจหย่อน “อาร์กัส (Argus)” ซึ่งเป็นกล้องเคลื่อนที่ลงไป และ ดร. บัลลาร์ด พร้อมทั้งทีมงานก็ได้เห็นชิ้นส่วนของไม้ที่อยู่ลึกลงไป 100 – 155 เมตร พร้อมทั้งซากของสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะที่พักอาศัยฝีมือมนุษย์
ดร. บัลลาร์ด ไม่ได้คาดหวังที่จะพิสูจน์เรื่องราวในพระคัมภีร์ หากแต่ว่าเขากำลังตามรอยประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทว่า ถ้าเขาสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้คนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนที่จะถูกน้ำท่วม สิ่งนี้ก็จะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของเขา
หลังจากการส่ง อาร์กัส ลงสู่พื้นทะเลแล้ว ดร. บัลลาร์ด ตัดสินใจส่งยานดำน้ำที่ไม่มีคนบังคับชื่อ “ลิตเติ้ล เฮิร์ค(Little Herc)” ลงไปเพื่อถ่ายภาพที่มีความคมชัดเป็นพิเศษและก็อาจจะเก็บตัวอย่างดินมาได้ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากการถ่ายทอดของ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ก็ได้เผยให้เห็นถึงรายละเอียดที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ จากนั้นก็ได้เก็บเอาดินขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบทางด้านโบราณคดี รวมทั้งซากชิ้นส่วนไม้ที่พบด้วย และความพยายามของพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ เพราะผลจากการตรวจสอบดินนั้น ยืนยันแนวคิดที่ว่า เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนไม้นั้นจะเป็นของในยุคใหม่อายุราว 200 ปีก่อน

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำไมห้องผ้าตัดต้องใส่ชุดสีเขียว??

cover

ในอดีตหมอผ่าตัดไม่ได้มีแบบฟอร์มชุดสำหรับเข้าผ่าตัดเป็นจริงเป็นจังสักเท่าใด บางครั้งอาจสวมแค่ผ้ากันเปื้อนเพื่อป้องกันเลือดเปื้อนเสื้อผ้า ทั้งยังทำการผ่าตัดด้วยมือเปล่า ไม่สวมถุงมือ อุปกรณ์การผ่าตัดก็ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ จึงไม่แปลกที่การผ่าตัดในสมัยก่อนจะดูอันตรายถึงชีวิต

จนล่วงเข้าสู่ปี ค.ศ. 1918 ซึ่งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์สเปน แพร่ระบาด คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย หมอ่าตัดจึงสวมผ้าปิดปากซึ่งทำจากผ้าตาข่ายโปร่งๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาเดียวกัน หมอผ่าตัดก็เริ่มสวมถุงมือยาง จนล่วงเข้าสู่ทศวรรษ 1940 ก็หมอผ่าตัดก็เริ่มรู้จักการฆ่าเชื้อ จึงสวมชุดผ่าตัดซึ่งผ่านการฆ่าเชื้อในการผ่าตัดทุกครั้ง แต่ในตอนนั้นชุดผ่าตัดยังเป็นสีขาว ไม่ใช่สีเขียว หรือสีฟ้า อย่างที่เห็นในปัจจุบัน



ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์สเปน



อย่างไรก็ดี ห้องผ่าตัดนั้นเป็นสีขาว ไฟในห้องก็สว่างเจิดจ้า จึงทำให้ตาพร่ามัว เสียสมาธิในการผ่าตัด ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนสีชุดผ่าตัดจากสีขาวเป็นสีเขียว หรือสีฟ้า เนื่องจากการมองเห็นสีเขียว หรือสีฟ้าช่วยให้หมอผ่าตัดมองเห็นชัดเจนขึ้น ทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่น เพราะได้พักสายตาจากสีแดงจากเลือดของคนไข้ในระหว่างผ่าตัด เหตุผลอีกข้อคือ สมองของมนุษย์มีการตีความสีที่เห็นใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างเช่น หากหมอผ่าตัดต้องจ้องมองสีที่ใกล้เคียงกัน เช่น สีชมพู และสีแดง ก็จะทำให้ตอบสนองช้าลง

นอกจากนี้ การจ้องมองสีแดงจากเลือดของคนไข้นานๆ แล้วละสายตาไปมองพื้นสีขาวของห้องผ่าตัด หรือชุดผ่าตัดสีขาวก็จะทำให้เห็นสีเขียวลอยเด่นขึ้นมา ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า Afterimage หรือภาพติดตา ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราจ้องสีใดสีหนึ่งเป็นเวลานาน เมื่อละสายตาก็จะปรากฏสีตรงข้ามกับสีนั้นโผล่ขึ้นมาแทนที่

อย่างไรก็ดี การสวมชุดผ่าตัดสีเขียว หรือสีฟ้า สามารถแก้ไขปรากฏการณ์ภาพติดตาได้ชะงัดนัก เนื่องจากสีฟ้านั้นมีสีเดียวกับภาพติดตาอยู่แล้ว ส่วนสีเขียวก็ไม่ทำให้เกิดภาพติดตาที่เด่นชัดจนทำลายสมาธิในการผ่าตัด ทั้งยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของดวงตา และไม่ทำให้เลือดที่กระเด็นมาถูกชุดผ่าตัดเห็นเป็นสีแดงชัดเจน

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

10 เรื่องเด็ด วันสอบแอดมิชชั่นของเกาหลีใต้


วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ 3
รู้หรือไม่? การสอบแอดมิชชั่น คือ นักเรียน ม.6 ต้อง 수능 ซู-นึง แปลว่า สอบแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัย นั้นเอง ในประเทศเกาหลี ถือเป็นวาระระดับชาติทีเดียว ! (โอ้แม่เจ้าโว้ย) และมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งตื่นเต้นและแตกต่างจากการสอบ แอดมิชชั่นในประเทศไทยบ้านเรา แน่นอน ! วันนี้ ทีนเอมไทยก็มี 10 เรื่องเด็ด วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ มาฝากกันคะ !
ข้อมูล teen.mthai.com อ้างอิง เด็กดีดอทคอม / naver.com
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้  ปีละครั้ง วันเดียว จบ !
การสอบแอดมิชชั่นของเกาหลีใต้ จัดแค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น สอบวันเดียวจบ แตกต่างจากประเทศไทย(บ้านข่อยเด๋อหล่า)ที่มีทั้งสอบ
  • GAT PAT
  • 7 วิชาสามัญ
  • O-Net
  • A-Net
แต่ถ้าได้สอบแบบเกาหลีใต้ ตายแน่ๆ รู้ผลตั้งแต่ยังไม่สอบแล้วละจ้ะ !
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ จะได้กำลังใจจากไอดอลเกาหลี
ในโลกโซเชียลของศิลปินเกาหลีใต้ ทุกคน จะพบว่า แทบทุกคนจะส่งข้อความให้กำลังใจและเชียร์ นักเรียนที่ต้องเข้าสอบแอดมิชชั่น ใน วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้  ทุกคนในประเทศไม่ว่า จะสอบหรือไม่สอบ จะมีส่วนร่วมมากๆๆ ดังนั้นแม้แต่พวกไอดอลทั้งหลายก็จะออกมาทวิตข้อความหรือฝากข้อความเป็นกำลังใจให้แก่ผู้เข้าสอบ เรียกว่าอ่านหนังสือสอบเหนื่อยแค่ไหน แค่เห็นไอดอลที่เราปลื้มส่งกำลังใจมาให้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะเนาะ ฮ่าๆๆๆ
(ไม่องไม่อ่านมันละหนังสือ รอข้อความทวิตจากไอดอลดีกว่า ^^ )
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ ฮอตพอกับข่าวเลือกตั้ง !
ใน วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ นั้น สื่อจะให้ความสนใจวินาที:วินาที ฮอตฮิตพอๆกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ดีเบท กันซะอีก อัพเดตกันสดๆว่า วิชาไหนเริ่มสอบแล้ว วิชาไหนสอบเสร็จแล้ว วิชาไหนยากขึ้น วิชาไหนง่าย !
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
ตารางสอบ วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
อย่างที่บอกแล้วว่า การสอบแอดมิชชั่นในเกาหลีใต้ นั้นจะจัดแค่วันเดียวเท่านั้น ตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยตารางสอบก็จะ เป็นไปตามนี้เลยค่ะ
  • ภาษาเกาหลี 8.40 น.- 10.00 น.
  • คณิตศาสตร์ 10.30 น. – 12.10 น.
  • ภาษาอังกฤษ 13.10 น. – 14.20 น.
  • สังคมศึกษา/วิทยาศาสตร์/ธุรกิจโลก 14.50 – 16.24 น.
  • ภาษาต่างประเทศ 16.55 – 17.35 น.
ยิงยาวเลยจ้า น้องๆ 
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
สอบเสร็จปุ๊ป เฉลยปั๊ป 
ทันทีที่สอบวิชานั้นเสร็จ เช่น วิชาภาษาเกาหลีสอบเสร็จ 10 โมง ไม่เกิน 11 โมง กระดาษคำตอบที่ถูกต้อง จะถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ทันที ถ้าจำได้ว่าตัวเองเลือกตอบข้ออะไรก็สามารถเช็คได้ทันทีเลยว่าตอบผิดหรือถูก ไม่ต้องรอจนถึงวันประกาศผลคะแนนเลยก็ว่าได้ !  
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
จำนวน ผู้เข้าสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ มีประมาณ 668,000 คนค่ะ! ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่เยอะมาก เพราะเกาหลีใต้มี ประชากรทั้งประเทศประมาณ 50 ล้านคนน้อยกว่าประเทศไทยซึ่งมีประชากร 70 ล้านคน แต่มีผู้เข้าสอบ O-Net ซึ่งเป็นการสอบที่เด็ก ม.6 ทุกคนต้องสอบประมาณ 350,000 คน( อ่าวแล้วอีกเกือบครึ่งเป็นใครอ่ะ)
เด็กอีกเกือบครึ่งนั้นก็คือ เด็กซิ่วหรือเด็กที่สอบไม่ติดจากปีก่อนเพียบ! คิดๆ ดูแล้วน่าจะมีเด็กซิ่วมาลงสนามสอบ ไม่น่าต่ำกว่าหลักแสนทีเดียวค่ะ
( เพราะพวกเธอทำให้ฉันกดดันเยอะแยะมากมายขนาดนี้)
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
รุ่นพี่น่ารัก คึกคักเวลาลงสอบ
บรรยากาศหน้าโรงเรียน สนุกสนานเฮฮายิ่งกว่า คอนเสิร์ต SNSD อีก เพราะ นักเรียนรุ่นน้อง พ่อแม่ ผู้ปกครอง ของนักเรียนที่ สอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ นั้นจะมายืนเชียร์บ้าง ถือป้ายไฟบ้าง หรือ เอากลองมาตีบ้าง (บรรยากาศคล้ายๆรับน้อง) เพื่อให้กำลังใจ และ ส่งพลังจิตให้สอบได้ๆๆๆๆ
( ถ้าเป็นที่ประเทศไทยคงจะมีแต่ผู้ปกครองที่นั้งรอ กินขนม และ หลับรอ ลูกๆสอบเสร็จ กลับบ้าน) 
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
แว๊นไปทันใจ กับ ตำรวจจราจรเกาหลีใต้  !
เป็นอีกเหตุการณ์ที่เราจะได้พบเห็นอยู่เสมอ คือ ตำรวจจราจรพร้อมมอเตอร์ไซค์คอยยืนประจำการตามจุดต่างๆเผื่อว่ามีนักเรียนคนไหนกำลังจะไปสอบ ไม่ทันหรือรถติด ใน วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ นักเรียนก็สามารถกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ตำรวจที่เปิดไซเรน ซิ่งไปส่งที่สนามสอบได้ทันเวลา! ไปโลด
( อันนี้สุดยอดมากค่ะ นับถือสุดๆ ที่ประเทศไทยน่าจะมีบ้างนะคะ ใครเจอรถติดคิดว่าจะไปสอบไม่ทัน น่าจะลองขอให้คุณตำรวจจราจรช่วยพาไปส่ง น่าจะเวิร์คกว่า ยืนแอบอยู่เสาข้างถนน ค่อยดักตรวจมอไซด์ในซอย ! O.o
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
เกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราประชากรฆ่าตัวตายในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในวันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้ เป็นอีกวันที่ต้องมีการระมัดระวังสอดส่องกันดูแลความปลอดภัยอบ่างเข้มงวด  อย่างเช่น รถไฟใต้ดินจะมียามคอยดูแลหนาแน่นกว่าปกติ เพราะกลัวมีเด็กจะมาฆ่าตัวตาย ซืึ่งพบเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อประเทศเกาหลีไต้
จากข่าวที่รายงานมา มีนักเรียนฆ่าตัวตาย ก่อนวันสอบ 1 วัน เรื่องเกิดที่เมืองแทกู โดยมีนักเรียนคนหนึ่งอายุ 20 ปี ได้ผูกคอตายในอพาร์ทเมนท์ชั้น 18 และโดยได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ว่า “การอดหลับอดนอนและการไอเป็นเลือด คงจะนำไปสู่การตายในไม่ช้านี้”
จากการสอบถามจากผู้ปกครองก็พบว่า เป็นเด็กที่มาสอบแอดมิชชั่นซ้ำใหม่และมีความเครียดกลัวว่าคะแนนจะไม่ดีขึ้นจากปีก่อน สุดท้ายนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยแด่ครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยค่ะ 
วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
เครื่องบินห้ามบิน !
จากข่าวของทางเกาหลีใต้ระบุว่า “การควบคุมการขึ้นและลงจอดของเครื่องบินสายการบินต่างๆ รอบๆ สนามสอบแอดมิชชั่นจำนวน 1,191 แห่งทั่วประเทศเกาหลีใต้”
  • ตั้งแต่เวลา 8.35 น – 8.58 น รวมเวลาทั้งหมด 23 นาที
  • ตั้งแต่เวลา 13.5 น -13.35 นรวมเวลาทั้งหมด 30 นาที
  • ห้ามทำการบิน เนื่องจาก ตรงกับเวลาของการทำข้อสอบ วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้
  • ส่วนการฟัง ห้ามนำเครื่องบินบินขึ้นจากพื้นดินจนถึงสูง 3 กิโลเมตร ที่อาจส่งเสียงทำการรบกวน นักเรียนที่กำลังทำการสอบแอดมิชชั่น
โอ้แม้เจ้าโว้ย อะไรมันจะสุดยอดขนาดนี้ แต่ถ้าเทียบแล้วก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ถ้าเกาหลีใต้สอบวันเดียวจบ ก็คือจบเห่ รอสอบปีหน้าอย่างเดียว ไม่เหมือนที่ไทยให้สอบหลายๆรอบเพราะเป็นการ การยืนคะแนนช่วย หรือ ให้สอบแก้ตัว นั้นเอง น้องๆ คิดว่าแบบไหนดีกว่า ?

 10 เรื่องเด็ด วันสอบแอดมิชชั่นที่เกาหลีใต้