วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

 (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญที่สุดของทีมชาติในทวีปยุโรป ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปีโดยสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลกของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) โดยแนวคิดของ อองรี เดอโลเนย์ เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น ทั้งนี้ ในการแข่งขัน 5 ครั้งแรก มีทีมชาติร่วมแข่งขันเพียง 4 ประเทศ ต่อมาในการแข่งขันครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) รอบสุดท้ายมีทีมชาติเข้าแข่งเพิ่มเป็น 8 ประเทศ จากนั้นในครั้งที่ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) เพิ่มจำนวนเป็น 16 ประเทศในรอบสุดท้าย และในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ประเทศ ทั้งนี้ การแข่งขันนัดชิงลำดับที่สาม ยกเลิกไปในการแข่งขันครั้งที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์ และประเทศยูเครน

ตามไปดูตัวอย่างข้อสอบ ?โอเน็ต? ที่เด็ก "มึน" ผู้ปกครอง "งง" !!




ข้อสอบ "โอเน็ต" ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา สร้างความฉงนสงสัยให้กับเด็กระดับ ม.6 ที่เข้าสอบ หรือแม้กระทั่งผู้คนทั่วไปที่ได้รับรู้อยู่ไม่น้อย กระทั่งมีการตั้งกระทู้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ให้รุ่นพี่ รุ่นน้องมาช่วยกันหาคำตอบ ช่วยกันวิเคราะห์ว่าคำตอบใดกันแน่ที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง ทีมข่าว "มติชน" ลองสอบถามไปยังนักวิชาการด้านการศึกษา ให้แสดงทรรศนะถึงข้อสอบที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้

"รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ" อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า ข้อสอบปีสองปีที่ผ่านมา ลักษณะของข้อสอบยังคงยากอยู่  แต่วิธีการตอบหรือเทคนิคง่ายขึ้น เมื่อก่อนจะยากทั้งตัวเนื้อหาและเทคนิค แต่ปีนี้อยู่ที่ตัวเนื้อหาอย่างเดียว เรื่องเทคนิคก็จะเป็น 5 ตัวเลือก แล้วก็ลักษณะของข้อสอบการโยงเรื่องการวิเคราะห์อะไรไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน นี่เป็นประเด็นที่หนึ่งที่เห็น 

ต่อมาคือลักษณะของการออกข้อสอบ ค่อนข้างเห็นความแตกต่างระหว่างเด็กในเมืองและเด็กในชนบท ถ้าเด็กในเมืองโอกาสการติดตามข้อมูลข่าวสารหรือการเข้าถึงจะดีกว่าเด็กในต่างจังหวัด หากสังเกตดูจะพบว่า ข้อสอบส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์ เรื่องของระบบข้อมูลข่าวสารต่างๆ กลุ่มผู้ออกข้อสอบส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยกับอาจารย์โรงเรียนสาธิตต่างๆ มีบางส่วนที่มาจาก สพฐ. ฉะนั้นข้อสอบจึงมีลักษณะค่อนข้างไม่ยุติธรรมในเชิงของภูมิภาค

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเห็นอย่างไรกับข้อสอบที่ถามว่า "ถ้าจะปลูกฝังความเป็นไทยต้องให้ดูละครเรื่องอะไร"

รศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า การออกข้อสอบในลักษณะนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง

เพราะเราบอกว่าไม่ส่งเสริมให้เด็กดูละคร แต่หากไม่ดูเด็กก็จะไม่สามารถวิเคราะห์ข้อสอบข้อนี้ได้ ซึ่งข้อสอบในลักษณะนี้เป็นเรื่องของการคิดวิเคราะห์ 

เวลาที่เด็กคิดหาคำตอบจะมีความแตกต่างกันเรื่องของฐานข้อมูลกับเรื่องราวที่ใช้ในการตัดสินใจตอบ ข้อสอบแบบนี้จะวัดได้ยาก เพราะเด็กจะต้องดูละครทั้ง 5 เรื่อง จึงจะนำความรู้ในนั้นมาตอบข้อสอบ ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กทุกคนจะดูครบทุกเรื่อง

ด้านผู้ปกครอง "มติชน" นำข้อสอบที่เพิ่งมีการสอบในปีนี้ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นมาให้ลองตอบ พร้อมทั้งขอเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกคำตอบนี้

"วิเชษฐ ดีประดิษฐ" ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนหอวัง ได้รับคำถามว่า "ถ้าจะปลูกฝังความเป็นไทยต้องให้ดูละครเรื่องอะไร?" โดยมีตัวเลือกคือ 1.ขุนศึก 2.สี่แผ่นดิน 3.ดอกส้มสีทอง 4.แรงเงา และ 5.กี่เพ้า

ผู้ปกครองคนนี้เลือกตอบข้อ 2.สี่แผ่นดิน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องราวของสี่แผ่นดินเป็นการถ่ายทอด การนำเสนอภาพของประเทศในแต่ละยุคสมัย โดยสอดแทรกเรื่องวัฒนธรรมประเพณีเข้าไปตลอดทั้งเรื่อง ทำให้คนดูซึมซับว่าประเพณีไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ซึ่งข้ออื่นๆ อย่างขุนศึก เป็นเนื้อหาละครที่เน้นเรื่องความรักชาติ ซึ่งถือว่ามีแง่มุมของความเป็นไทยน้อยกว่า ขณะที่ตัวเลือกอื่นๆ ที่เหลือขอตัดออกไปเลย

หลังจากลองทำข้อสอบ "วิเชษฐ" ให้ความคิดเห็นว่า ความคิดการวิเคราะห์ของเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ถ้ามีเจตนาให้เด็กคิดก็ควรจะมีคำตอบมากกว่า 1 ข้อ

"การที่ให้ผู้ใหญ่มาออกข้อสอบก็เลยเป็นความคิดของผู้ใหญ่ซะมาก ลักษณะการทำข้อสอบเชิงวิเคราะห์แบบนี้ ผมอยากจะให้ได้คะแนนให้ทุกข้อที่ตอบถูก เพราะถูกหลายข้อแล้วแต่คนวิเคราะห์คืออาจจะถูกมากกว่า 1 ในเมื่อเราต้องการให้เด็กวิเคราะห์แสดงทรรศนะ ฉะนั้นคำตอบไม่น่าจะมีข้อที่ถูกเพียงแค่ 1 เราต้องฟังทรรศนะเขาด้วย" วิเชษฐกล่าว

อีกคนหนึ่ง สวนกลับในทันทีหลังจากเห็นโจทย์

"ข้อสอบข้อนี้ออกมาได้ไง ตอบไม่ได้หรอกแล้วจะรู้ได้อย่างไร ใครวิจารณ์อะไร" "อรุณ บ่างตระกูลนนท์" นายกสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนสตรีวิทยา 2 กล่าว หลังจากได้ฟังข้อสอบวิชาศิลปะ ที่ถามว่า "ใครคือผู้วิจารณ์อย่างสุนทรีย์?"

และก็เลี่ยงที่จะตอบข้อนี้

ก่อนที่จะได้รับอีกหนึ่งคำถามจากวิชาสุขศึกษา ว่า "สถานการณ์ใดเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยมากที่สุด?" มีตัวเลือกคือ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง 2.ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา 3.คบเพื่อนที่ชอบซิ่งรถจักรยานยนต์ 4.พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า 5.คาดเข็มขัดนิรภัยทันที เมื่อเห็นตำรวจจราจร

อรุณ ตอบว่า ก่อนอื่นขอตัดคำตอบข้อที่ 3 ออกก่อนเพราะเราอาจจะแค่คบเพื่อนแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำตามเพื่อน ขณะที่ข้อที่ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง ก็ไม่จำเป็นต้องอันตราย ตัวเลือกที่ 4 พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า ก็ไม่ใช่ยิ่งข้อ 5 ตัดไปได้เลย ฉะนั้นขอตอบข้อ 2 ที่บอกว่า ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา เพราะมีความอันตรายแบบชัดเจนเลย

ผู้ปกครองรายนี้มีข้อเสนอแนะถึงผู้ออกข้อสอบว่า ควรจะมีคณะกรรมการที่เข้ามาศึกษาเรื่องการออกข้อสอบ รวมทั้งปรึกษากันเพื่อออกข้อสอบให้มีความชัดเจนและเหมาะสม อีกทั้งคนที่ออกข้อสอบควรเป็นคนที่สอนหนังสือและคลุกคลีกับนักเรียนอยู่ในปัจจุบัน

ในขณะที่ "อุทุมพร จามรมาน" อดีตผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) มองว่า ตามหลักการออกข้อสอบจะต้องยึดตามหลักสูตรการเรียนรู้ และจะต้องออกให้ครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ หลักการออกข้อสอบแบบวัดความคิดเห็น จะไม่มีการให้คะแนนแบบถูกผิด แต่จะต้องมีการเฉลี่ยคะแนนแต่ละข้อ ซึ่งจะมีข้อหนึ่งที่ได้คะแนนมากที่สุด ส่วนข้อสอบแบบวัดความรู้ และการคิดวิเคราะห์ จะมีคำตอบถูก ผิด ชัดเจน และสามารถอธิบายตามหลักวิชาการได้

"กาญจนา นาคสกุล" ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย อดีตประธานคณะกรรมการพิจารณาข้อสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ระบุว่า ปัจจุบันการออกข้อสอบอาจจะยังไม่มีความชัดเจนในบางส่วน

รวมถึงการออกข้อสอบเน้นความรู้เฉพาะเจาะจงมากเกินไป จนเด็กไม่สามารถตอบคำถามได้ อย่างเช่น ข้อสอบที่ถามเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางในกรุงเทพฯ หรือว่าความรู้ที่รู้เฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่เด็กต่างจังหวัดไม่สามารถตอบได้

ปัจจุบันการออกข้อสอบยังมีหลายข้อใช้ภาษาและคำถามไม่ชัดเจน จึงทำให้นักเรียนหลายคนเกิดความรู้สึกว่าคำตอบถูกทุกข้อ

การออกข้อสอบควรเน้นความเป็นธรรมกับนักเรียนทุกคน ต้องเป็นความรู้ได้จากตำราเรียน และความรู้ที่เด็กจะได้จากการเรียนแต่ละวิชา แต่ถ้าเป็นความรู้ทั่วไป ก็ต้องเป็นความรู้ที่นักเรียนทั้งประเทศที่รู้ และสามารถตอบได้ 

แต่ในปัจจุบันการออกข้อสอบเน้นถามเรื่องที่ครูรู้ แต่เด็กไม่รู้ และครูออกข้อสอบซับซ้อนมากเกินไปจนเด็กตอบไม่ได้

และนี่คืออีกเสียงสะท้อนต่อการสอบโอเน็ตของเด็กไทย


หน้า 9 มติชนรายวันฉบับวันที่ 16 ก.พ. 2556

Harlem Shake คืออะไร ?


  • เทรนด์การเต้นหมู่ Harlem Shake (ฮาร์เล็ม เชค) เป็นการเต้นประกอบเพลงรูปแบบหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมาก
  • ฮาร์เล็ม เชค ( Harlem Shake ) รูปแบบการเต้น ฮาร์เล็ม เชค นี้ เป็นการหยิบเอางานเพลงชื่อเดียวกัน Harlem Shake ของบาเออร์ ศิลปินฮิปฮอป มาใช้ประมาณ 30 วินาที
  • โดยในช่วงเริ่มต้นของการเต้น Harlem Shake นั้นจะเป็นการเต้นเพียงคนเดียว ท่ามกลางในหมู่ของเพื่อนๆ หรือคนรอบข้างที่ทำเป็นไม่สนใจ แต่พอถึงช่วงที่จังหว่ะเพลงเปลี่ยน ผู้คนรอบข้างเหล่านั้นก็จะลุกออกมาเต้นในท่วงทีที่บ้าคลังหรือจะเรียกว่าหลุดโลกเลยก็ว่าได้  ไม่เน้นสวยงามแต่เน้นความฮาจ้า!!


ที่มาฮาร์เล็ม เชค (Harlem Shake)

  •  การเต้นฮาร์เล็ม เชค มีที่มาจาก การแสดงของชนกลุ่มหนึ่งในแถบทวีปแฟริกาเหนือ คือ ชนเผ่าเอสกิสตา (Eskista
  • โดยท่าเต้นดังกล่าวมีเอกลักษณ์คือการโยกไหล่ไปมา
  • จากนั้นนักเต้นวณิพกจากนิวยอร์ก สหรัฐฯ คนหนึ่งก็ได้นำท่าเต้นดังกล่าวไปประยุกต์เข้ากับลักษณะการเคลื่อนไหวของมัมมี่ ที่จะทำได้เพียงแค่การกระตุกไหล่ไปมา ทำให้ท่าเต้นดังกล่าวได้กลายมาเป็นที่นิยม จนได้รับการเผยแพร่ไปจนถึงย่านฮาร์เล็ม ของนิวยอร์ก ช่วงปี ค.ศ. 1981 จนกลายมาเป็นที่มาของชื่อ ฮาร์เล็ม เชค ในที่สุด

Harlem Shake เทรนด์เต้นหมู่แบบใหม่ Harlem Shake คืออะไร teen.mthai.com4


กระแสฮาร์เล็ม เชค (Harlem Shake) มาจากไหน? 

  • เริ่มต้นมาจาก คลิปวิดีโอของกลุ่มวัยรุ่น ที่ใช้ชื่อว่า The Sunny Coast Skate ซึ่งได้อัดคลิปวิดีโอการเต้นแบบสุดเหวี่ยงด้วยลีลา ฮาร์เล็ม เชค มาเผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก่อนที่คลิปดังกล่าวก็จะถูกชมรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ นำไปเลียนแบบต่ออย่างแพร่หลาย จนกลายมาเป็น เทรนด์ใหม่ของชาวสังคมออนไลน์ ในขณะนี้


ท่าเต้นฮาร์เล็ม เชค (Harlem Shake)

  • สำหรับท่าเต้น ฮาร์เล็ม เชค นี้ ก็ได้เริ่มก้าวเข้ามาสู่วงการเพลงกระแสหลัก เมื่อท่าเต้นดังกล่าวถูกนำมาใช้ในมิวสิควิดีโอเพลง Let’s Get It ของ จีเดป (G.Dep) และ พีดิ๊ดดี้ (P Diddy) ในปี ค.ศ. 2001
  • โดยต่อมาท่าเต้นนี้ถูกนำไปใช้ในเอ็มวี ของศิลปินฮิปฮอปอีกมากมาย ทั้งเพลง  Take You Home ของลิล โบว วาว (Lil’ Bow Wow) และเพลง  Who’s That Girl ของ อีฟ (Eve
  เพลง Harlem Shake : http://youtu.be/Bk1_DbbzSdY

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

PAT 5 : ความถนัดทางวิชาชีพครู


PAT-5 คืออะไร       PAT 5 (Professional Aptitude Test 5) คือ ความถนัดทางวิชาชีพครู เป็นการวัดความรู้พื้นฐานที่จะเรียนต่อในวิชาชีพนั้น ๆ กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้น ๆให้ประสบความสำเร็จ
แนวข้อสอบ PAT-5วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์
เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ลักษณะ ข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
  • คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง
  • เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
  • มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

การจัดสอบPAT จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง
  • คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

GAT - PAT คือ??


ความถนัดทั่วไป (GAT : General Aptitude Test) 
คือ การวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำเร็จ แยกได้ 2 ส่วน คือ 
              1. ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ และแก้โจทย์ปัญหา 50 %
              2. ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ 50 %
ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT :Professional and Academic Aptitude Test) 
คือ ความรู้ที่เป็นพื้นฐานที่จะเรียนต่อในวิชาชีพนั้น ๆ กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้น ๆให้ประสบความสำเร็จ มี 7 ประเภท คือ
              1. PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์
              2. PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
              3. PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
              4. PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
              5. PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู
              6. PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
              7. PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ
การสอบ GAT และ PAT
          ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้กำหนดองค์ประกอบและค่าน้ำหนักในการคัดเลือกเข้าศึกษาในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาด้วยระบบกลาง (Admissions) ปีการศึกษา 2553  ประกอบด้วย
1. GPAX 20%
2. O-NET 30%
3. GAT 10-50%
4. PAT 0-40%
 รวม 100 %

ความหมาย
         • GAT คือ ความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test) ประกอบด้วย
1) ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหา คะแนนเต็ม 150 คะแนน
2) ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 150 คะแนน
**สอบ 3 ชั่วโมง ด้วยข้อสอบปรนัย และอัตนัยที่ตอบแบบปรนัย**
         • PAT คือ ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (Professional and Academic Aptitude Test)
ประกอบด้วย

              1. PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์
              2. PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
              3. PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
              4. PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
              5. PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู
              6. PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
              7. PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ

**สอบ 3 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 300 คะแนน ข้อสอบปรนัยและอัตนัยที่ตอบแบบปรนัย**
การสมัครสอบ o­nline
         วิธีการสมัคร o­nline
      1) เข้าเว็บไซต์ สทศ. http://www.niets.or.th/
      2) Click ที่ Menu “เข้าระบบ GAT / PAT” หรือเข้าตรงได้ที่ http://www.gatpat.niets.or.th/
      3) Click เลือก Menu “สมัครสอบ”
         จะมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นตอนที่ 1 : อ่านเงื่อนไขให้เข้าใจ เมื่ออ่านเข้าใจแล้ว กดปุ่ม “ยอมรับเงื่อนไข”
ขั้นตอนที่ 2 : กรอกรายละเอียดของผู้สมัครให้สมบูรณ์ครบถ้วน
ขั้นตอนที่ 3 : ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล พร้อมยืนยันความถูกต้อง
ขั้นตอนที่ 4 : พิมพ์ใบชำระเงิน แล้วนำไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
(**กรุณาเก็บหลักฐานการชำระเงิน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการสมัคร**)



วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

O-NET คืออะไร??


คือ การทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ซึ่งในภาษาฝรั่งก็คือ Ordinary National Education Test ที่จัดสอบโดย สทศ. ชื่อเต็มๆ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ในชื่อภาษาอังกฤษ National Institute of Educational Testing Service ตัวย่อ NIETS
ซึ่งการสอบ O-NET นี้จะใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดต่างๆให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งก็จะใช้วัดความรู้และความคิดของนักเรียนในระดับ ป.6 ม.3 และ ม.6 โดย ที่ข้อสอบจะประกอบไปด้วยเนื้อหา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่
  1. ภาษาไทย
  2. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
  3. ภาษาอังกฤษ
  4. คณิตศาสตร์
  5. วิทยาศาสตร์
  6. สุขศึกษาและพลศึกษา
  7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
  8. ศิลปะ
และนอกจาก O-NET จะใช้เป็นตัววัดระดับการศึกษาของเด็กไทยแล้ว ยังเป็นคะแนนที่น้องๆระดับชั้นต่างๆต้องนำไปใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับชั้นต่อไปด้วย ก็คือ น้องๆชั้น ป.6 และ ม.3 ต้องใช้คะแนน O-NET สมัครเข้าเรียน ม.1 และ ม. 4 โดยให้น้ำหนัก 20% (โดยจะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2554 เป็นต้นไป) และสำหรับน้อง ม.6 ใช้คะแนน O-NET ในการสมัคร Admission 30%
ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวข้อสอบ O-NET อยู่นิดนึงสำหรับข้อสอบของน้องๆ ป.6 และ ม.3 เป็น ข้อสอบ O-NET ฉบับสั้น จะมีการเอา 8 วิชากลุ่มสาระฯมาย่อยให้เหลือ ข้อสอบ 2 ฉบับ โดยที่ฉบับ A จะประกอบไปด้วย สังคมฯ อังกฤษ คณิตฯ และฉบับที่ B จะมีภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สุขศึกษาพลศึกษาศิลปะ และยังมีการแบ่งอีกนะครับว่า ถ้าเป็นน้อง ป.6 จะมีชุด 61A กับ 62B และ 62A กับ 62B ซึ่งชุดข้อสอบ 61กับ62จะมีเนื้อหาเหมือนกันแต่ไม่ตรงข้อกันจะแจกสลับให้กับน้องๆเพื่อป้องกันการทุจริต ส่วนน้อง ม.3 ก็จะเป็น 91C กับ 91D และ 92C กับ 92D ส่วน O-NET ของน้อง ม.6 ยังเหมือนเดิมคร้าบ
และก็คงมีคำถามว่าแล้วถ้าเป็นเด็กอินเตอร์ เด็กซิ่ล เด็กนอกละ ต้องสอบไหม! ก็ต้องสอบเหมือนกันถ้าโรงเรียนอินเตอร์แห่งนั้นสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ สทศ.ก็จะทำการจัดสอบให้ และถ้าเป็นเด็กนอกที่ต้องการสอบ O-NET ก็ต้องทำการสอบเทียบ ม.6 ก่อน และต้องมีใบรับรองจากโรงเรียนและกระทรวงศึกษาธิการด้วย ซึ่งก็สามารถมายื่นสมัครสอบได้ในช่วงเดือน พฤศจิกายนของทุกปี
อ้อ! สำหรับการสอบ O-NET นี้น้องๆไม่ต้องเสียค่าสอบอะไรเลย และจะทำการสอบกันทุกเดือนกุมภาพันธ์ และจะประกาศผลประมาณปลายเดือนมีนาคมของทุกปี