วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ฝนเหลือง

ทั่วโลกประจักษ์ซึ้งถึงพิษภัยของ "ฝนเหลือง" (Agent Orange) เป็นอย่างดีในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี  2504-2518  เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้ เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง  โดยมีการประมาณกันว่า  อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร  จากจำนวนสารเคมี 72 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น  แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ  แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศ  สภาพแวดล้อม และสุขภาพของคนในเวียดนามใต้  ยังคงปรากฎให้เห็นชัดเจน และนี่เองกระมังที่ทำให้กรมควบคุมมลพิษ  กระทรวงวิทยาศาสตร์  พยายามกลบเกลื่อนเรื่องสารเคมีที่ขุดพบในสนามบินบ่อฝ้ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม  2542  ว่าไม่ใช่ "ฝนเหลือง"  ทั้ง ๆ ยังไม่มีการตรวจหาไดออกซินซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญของฝนเหลือง  เพราะประเทศไทยไม่มีเครื่องมือที่ตรวจสอบสารนี้ได้ และมีผู้ที่เคยทำงานให้กับทหารอเมริกันในช่วงปี  2506-2507  ออกมายืนยันว่า  ถังสารเคมีที่ขุดพบเป็นฝนเหลืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้หลังจากเข้ามาทดลองในประเทศไท  ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
         ปฏิกิริยาของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า  สำหรับประเทศไทยแล้ว  ฝนเหลืองยังน่ากลัวน้อยกว่าวิธีการทำงานแบบไม่โปร่งใสของหน่วยงานแห่งนี้เสียอีก
ฝนเหลืองคืออะไร
         ฝนเหลืองมาจากชื่อเล่นภาษาอังกฤษว่า Agent Orange เป็นสารผสมจากสารเคมี 2 ตัวคือ 2,4-D และ 2,4,5-T ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide  แม้สารเคมีในกลุ่มนี้จะยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน  แต่ตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดตัวหนึ่ง คือ 2,4,5-T  นี่เอง
         สารในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide  เป็นสารที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ และจะทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา  ทำให้เกิดผื่นคัน  ทำลายเนื้อเยื่อตับและไต และยังเป็นสารก่อมะเร็ง (carsinogen) เคยมีรายงานการทดลองในสัตว์พบว่า  สารตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่นต่อไป  ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด  แม้ได้รับในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำ สำหรับสาร 2,4-D  มีชื่อเต็มว่า 2,4-dichlorophenoxy acetic acid  องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลาง (Solid Class II, Moderately Hazardous๗  จัดเป็นสารกำจัดวัชพืชและสารที่ทำให้ใบไม้ร่วง  มีฤทธิ์ฉับพลันต่อคนคือ  ถ้าหากสูดดมเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจ คือ คอ  จมูก และปอด  ปวดแสบปวดร้อน  ถ้าสัมผัสที่ตาจะทำให้ตาแดง  แสบตา  ถูกผิวหนังจะทำให้ผิวด่าง และหากสัมผัสมาก ๆ  จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกของประสาทรอบนอก
         ส่วนสาร 2,4,5-trichloronoxy acetic acid       องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลางและมีฤทธิ์ต่อพืชเช่นเดียวกบ 2,4-D  จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า  สาร 2,4,5-T  มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์คือทำให้ฮอร์โมน testosterone ลดลงและทำให้ผู้ชายเป็นหมันได้
         ประเด็นสำคัญคือ ทั้งในสาร 2,4-D  และ 2,4,5-T  มีสารประกอบสำคัญที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกคือ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzo-p-dioxin (TCDD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ dioxin ลำพังสาร 2,4-D และ 2,4,5-T  เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขับออกในไม่ช้าและย่อยสลายในไม่นาน  แต่ตัวที่อันตรายในที่สุดในฝนเหลืองคือ ไดออกซิน (dioxin)  ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมี  non-biodegradable คือมีช่วงอายุนานหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ และ dioxin  นี่เองที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนเวียดนามใต้อย่างมาก
ภาพต้นไม้
พิษฝนเหลืองในเวียดนามใต้
         ดังกล่าวแล้วว่า  สหรัฐฯ ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร  ภายใต้แผนปฏิบัติการ  "Operation Ranch Hand"   ในสงครามเวียดนาม และจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการกันว่า  มีสาร "ไดออกซิน"  ทั้งหมดประมาณ 170 กิโลกรัมปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงคราม (สาร 2,4,5-T และ 2,4-D ในส่วนผสมของฝนเหลืองจะมีออกซินอยู่ประมาณ 3.83 กรัม/ลูกบาศก์เมตร)
         ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ  สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้  แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
        ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่  โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า  การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้  ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ
         และด้วยเหตุที่สารไดออกซินจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ  สารเคมีกลุ่มนี้เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารซึ่งมีไดออกซินปนเปื้อนอยู่มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี  2528-2530  ได้ผลยืนยันว่ามีสารไดออกซินสะสมในปริมาณสูง
         นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า  การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน  เช่น  ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ  เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด  เช่น  soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma  โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วงสงคราม  รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป  นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า  ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมีอัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์  เช่น  ทำให้แท้งลูก  ทารกตายในท้อง  ทารกพิการแต่กำเนิด  เป็นต้น  สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น
         ผลพวงของฝนเหลืองในยุคสงครามยังตกไปถึงน้ำนมในมารดาที่ตั้งครรภ์ด้วย  จากการศึกษาตัวอย่างน้ำนมมารดาที่รวบรวมมาจากสตรีที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของเวียดนามพบว่า  แม้ระดับของสารไดออกซินที่สะสมในน้ำนมมารดาลดลงไปจากระดับ 1450 พีพีที (parts per trilion) ในช่วงทศวรรษ  1970 เป็น 10-20 พีพีทีในปี  1994 (พ.ศ.  2537)  แต่ก็ยังคงสูงกว่าที่ตรวจพบในน้ำนมมารดาของสตรีเวียดนามที่อยู่ทางภาคเหนือ  ซึ่งไม่ได้รับฝนเหลือง และสูงกว่าน้ำนมมารดาของสตรีในประเทศอุตสาหกรรมต่าง ๆ  ประมาณ 3-8 เท่า
         มีการศึกษาอีกชุดหนึ่งที่ชี้ว่า  ตัวอย่างเลือดทั้งหมดที่เก็บจากเวียดนามใต้นั้นมีระดับไดออกซินสูงกว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บจากคนในเวียดนามเหนือ  การศึกษาชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไดออกซินเจนในเลือดของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานกับปริมาณของฝนเหลืองที่มีการฉีดพ่นออกไปในช่วงสงคราม
         องค์การอนามัยโลกจัดประเภทของสารไดออกซินไว้ในกลุ่มสารก่อมะเร็งในมนุษย์  ส่วนทางด้านสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency-EPA) นั้น  ระบุภายหลังจากที่มีการประเมินถึงพิษของสารไดออกซินครั้งล่าสุดแล้วว่า  ไดออกซินมีอันตรายร้ายแรงกว่าดีดีทีถึง 200,000 เท่า  ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า  ฝนเหลืองในสมัยสงครามอินโดจีน  มีผลกระทบร้ายแรงต่อทหารเวียดนามและทหารอเมริกันที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป
พิษฝนเหลืองที่บ่อฝ้ายไม่ร้ายเท่าพิษของหน่วยงานรัฐ
         "จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ่อฝ้าย ทำให้รู้ว่าสารเคมีดังกล่าวทหารอเมริกันนำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม  โดยนำบรรทุกเครื่องบินแล้วไปโปรยในป่าที่กองกำลังเวียดกงหลบซ่อนอยู่  เมื่อใช้เหลือก็นำมาฝังกลบไว้กลางสนามบินบ่อฝ้าย"  นาวาโทประเสริฐ  น้ำฟ้า  ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบินพลเรือนหัวหิน  ออกมาให้สัมภาษณ์  หลังจากถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินในระดับความลึกประมาณ 1.5 เมตรถูกรถแบ็กโฮขุดกระทบ  จนเกิดการรั่วไหลของสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้าย  อ.หัวหิ  จ.ประจวบคีรีขันธ์  เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา
         ผลของการขุดค้นถังบรรจุสารเคมีในเวลาต่อมาได้พบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร  ซึ่งไม่มีสารเคมีหลงเหลืออยู่อีก 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 5 ถัง  ขนาดบรรจุ 15 ลิตร  มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" คำว่า Delaware  ซึ่งเป็นชื่อเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกานี่เอง  ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่เบื้องต้นว่า  ถังบรรจุสารเคมีดังกล่าวน่าจะเป็นของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีคนไทยหลายคนทยอยออกมาให้ข้อมูลพร้อมรูปถ่ายว่าสหรัฐฯ เคยเข้ามาทดลองสารเคมีที่เรียกว่าฝนเหลืองบริเวณนี้  เพื่อนำไปใช้ในสงครามเวียดนาม
         นายเอนก  กลิ่นน้อย  อายุ 53 ปี  ราษฎรบ้านบ่อฝ้าย  เปิดเผยว่า  เมื่อปี  2506  สมัยที่มีอายุ 17 ปี  เคยรับจ้างทหารอเมริกันผสมสารเคมีและได้มีการนำไปโปรยในป่าใหญ่หลังค่ายนะรัชต์  อ.ปราณบุรี  ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเหมือนเหมือนเวียดนาม  โดยทดลองอยู่เกือบ 1 ปี
     "สารเคมีที่นำมาผสมมี 3 ชนิด  เป็นผงสีขาว ๆ  และดำมีกลิ่นเหม็นมาก  เวลากวนต้องใส่ถุงมือและหน้ากาก  ช่วงทำงานผมก็มีอาการแพ้สารเคมีเหมือนกัน และหลังจากผสมเสร็จจะนำขึ้นบรรทุกเครื่องบิน  สมัยนั้นเรียกว่าโครงการใบไม้ร่วง  ซึ่งเมื่อนำสารเคมีผสมเสร็จแล้วไปโปรย  ต้นไม้จะตายอย่างรวดเร็ว"   นายเอนกกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ 5, 8 เม.ย.  42)
         ด้านเรือโทเมธี  เพ็ญสาดแสง  วัย 72 ปี  ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากองศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในช่วงปี  2508  ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า  ช่วงทดลอง  ทหารอเมริกันและคนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเรียกสารตัวนี้ว่าฝนเหลือง
     "สมัยนั้นคนไทยที่ทำงานอยู่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย  นี่ล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว  สารพิษยังไม่สลายตัว  กรมควบคุมมลพิษบอกความจริงกับชาวหัวหินว่าสารเคมีที่ขุดพบเป็นสารเคมีตัวใดและเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน"  เรือโทเมธีกล่าว
         นอกจากนี้ทักษ์  เดชะปัญญา  ประธานสภาเทศบาลตำบลหัวหิน  ซึ่งเคยเป็นล่ามและช่างภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ  ก็ได้ออกมาระบุว่า  การทดลองสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายดังกล่าว  ใช้ชื่อว่า "defoliate"  หรือแผนใบไม้ร่วง  ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่าสารเคมีที่ขุดพบอาจเป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง  กรมควบคุมมลพิษก็ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในระหว่างวันที่ 23 มี.ค.-4 เม.ย.  2542  พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนช่วยตรวจสอบด้วย
         หลังจากตรวจสอบสารปนเปื้อนเพียง 2 วัน  นวล  เภทยาภัชร  ผู้อำนวยการกองวัตถุมีพิษ  กรมวิชาการเกษตร  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ก็ออกมาเปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า  พบไดเมทโธเอต (Dimethoate) และไตรอะโซฟอส (Triazophos) ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก  พร้อมทั้งยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า  จากการตรวจสอบทั้งในระดับอนุภาคของตัวสาร  ระดับโมเลกุล และทุกโครงสร้างทางเคมีแล้วไม่พบทั้ง 2,4-D และ 2,4,5-T  หรือแม้แต่ไดออกซิน  สารดังกล่าวจึงไม่ใช่ฝนเหลือง
         สำหรับผลการตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและบริษัทเอกชน  ซึ่งก็คือบริษัทเจนโก้นั้น  ศิริธัญญ์  ไพโรจน์บริบูรณ์  รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า  ไม่พบ 2,4,5-T และ 2,4-D  รวมถึงไดออกซินเช่นเดียวกัน  โดยสารประกอบหลักที่กรมควบคุมมลพิษตรวจพบคือ 2,6-bis-4-methylphenol หรือ Butylated Hydroxytoluene  ซึ่งใช้เป็นสารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในน้ำมันเชื้อเพลิง  ส่วนห้องปฏิบัติเอกชนตรวจพบตัวทำละลายอินทรีย์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม  ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหมือนรบกวน  ประกอบไปด้วยเบนซีน  โทลูอีน  เอทธิลเบนซีนและไซลีน  ซึ่งเหล่านี้ใช้ประโยชน์ในการล้างคราบไขมันและเป็นเชื้อเพลิง
         อย่างไรก็ดี  กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมคณะกรรมการรณรงค์ป้องกันภัยสารพิษและกลุ่มกรีนพีชนานาชาติ  โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  ได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบสารเคมีดังกล่า  รวมทั้งตรวจสอบให้ทราบถึงบริษัทผู้ผลิต  เพื่อยืนยันลักษณะของสารเคมีและให้ประเทศที่เป็นเจ้าของออกมาแสดงความรับผิดชอบ
         นอกจากนี้ยังได้ทำจดหมายถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา  ประจำประเทศไทย  ให้เปิดเผยข้อมูลทางการทหารที่เคยมีการทดลองสารพิษในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนามด้วย  รวมทั้งได้ติดต่อกับศูนย์ข้อมูลสารพิษในสหรัฐฯ  ที่ชื่อมัลติเนาชั่นแนล  รีสอร์ชเซ็นเตอร์  เพื่อขอข้อมูลสารพิษเพิ่มเติม  นอกจากนี้ยังขอให้ศูนย์ดังกล่าวส่งจดหมายไปยังกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ  ให้เปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการทางทหารในการทดลองสารพิษในประเทศไทยระหว่างสงครามเวียดนา
         "เราไม่เชื่อว่าการตรวจมีประสิทธิภาพพอ  เพราะปกติการตรวจหาสารพิษเหล่านี้  ต้องมีการตรวจยืนยันกันหลายรอบ  นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างดินก็ไม่รู้ว่าครอบคลุมบริเวณปนเปื้อนทั้งหมดหรือเปล่า  อีกอย่างหนึ่งคือการตรวจหาไดออกซินนั้น  ตรวจหาได้ยากมากในประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพพอ และต้องใช้งบประมาณสูง"  เพ็ญโฉม  ตั้ง  จากกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม  กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับผลการตรวจของกรมควบคุมมลพิษได้
ภาพใบไม้ร่วง
      ในระหว่างที่ยังไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนว่า  สารเคมีที่พบเป็นของใครและเป็นสารอะไรกัน  คณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้  โดยมีนายศิริธัญญ์  เป็นประธาน  ก็พยายามที่จะให้บริษัทเจนโก้เข้าไปดำเนินการบำบัดสารเคมีที่สนามบินบ่อฝ้ายอย่างเร่งด่วน  เพื่อยุติปัญหาและเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยคาดว่าจะใช้จ่ายในเบื้องต้นถึง 30 ล้านบาท
         อย่างไรก็ดี  คณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้แม้จะมีการลดงบประมาณเหลือ 16 ล้านบาทในเวลาต่อมา  เพราะกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารเคมีได้อย่างชัดเจน
         "ทำไมกรมควบคุมมลพิษไม่พยายามสืบหาต้นตอของสารเคมีนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีอันตราย  เป็นสารเคมีที่จัดเก็บผิดวิธี  แม้แต่กรมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสารนี้คืออะไร"  เพ็ญโฉมกล่าวพร้อมกับเสริมว่า  หากไม่สามารถสืบหาต้นตอของสารเคมีได้ก็จะไม่สามารถจัดการได้ถูกวิธีเพราะสารเคมีทุกชนิดล้วนมีความเป็นพิษต่างกัน  การจัดการจัดเก็บจึงต้องต่างกันไปด้วย  มิหนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า  ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่มีอันตรายจริงตามที่หลายฝ่ายออกมามายืนยัน  ทำไมจึงต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการจัดการสารตกค้างเหล่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ 12 เม.ย.  42)
         ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวเงียบตลอดเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของสารพิษ "ฝนเหลือง" ที่มีการขุดพบ  ในที่สุดเมื่อถูกก็ออกมายอมรับ  โดยโฆษกประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกา  ประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 30 เม.ย.  ว่า  กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้ามาปฏิบัติการทดลองสารเคมีที่มีชื่อว่า  เอเยนต์ออเรนจ์  ในประเทศไทย  โดยใช้ชื่อว่า Thailand Defoliation Program  หรือโครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในไทย  ช่วงระหว่างเดือน เม.ย.  2507-มิ.ย.  2508  บริเวณค่ายทหาร  อ.ปราณบุรี  จ.ประจวบคีรีขันธ์  ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินบ่อฝ้ายนัก  โดยรัฐบาล  จอมพล ถนอม  กิตติขจร  รับทราบอย่างเป็นทางการ
         ไม่เพียงเท่านั้น  ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ  ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมายังมีการระบุด้วยว่า  นอกจากฝนเหลืองแล้ว  สหรัฐฯ ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่น ๆ ด้วยเพื่อเปรียบเทียบกับสารเอเยนต์ออเรนจ์  เช่น  สารสีม่วง  สารสีชมพู  เป็นต้น  โดยในการทดลองครั้งมีคนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการอยู่ด้วย 2 คน คือ  นายเต็ม  สมิธินันท์  นักวิชาการกรมป่าไม้  ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว และนายสมจิตร  พงค์พงัน
         ส่วนถังสารเคมีที่พบในสนามบินบ่อฝ้ายนั้น  โฆษกประจำสถานทูตสหรัฐฯ  คนเดิมเลี่ยงที่จะพูดถึงชนิดและแหล่งที่มา  โดยกล่าวเพียงว่า  จากการพิสูจน์ของทางการไทยพบว่า  ไม่ได้บรรจุสารที่เป็นส่วนที่ประกอบของเอเยนต์ออเรนจ์
         ในเวลาต่อมานายสมจิตรได้ออกมาเปิดเผยว่า  หลังจากที่มีการโปรยสารเคมีในช่วงของการวิจัย ปี  2507  กระทรวงกลาโหม  สหรัฐฯ  ได้ทำการติดตามผลระยะยาวว่า  จะมีผลต่อมนุษย์และสัตว์รวมทั้งป่าไม้อย่างไรซึ่งจากการพบปะและเยี่ยมเยียนครอบครัวคนงานที่ถูกว่าจ้างให้เก็บตัวอย่างหลังการโปรยสารเคมีแต่ละครั้ง และครอบครัวคนงานที่อยู่ใกล้บริเวณที่โปรยสารเคมีพบว่า  เด็กชายคนหนึ่งที่เป็นบุตรของคนงานต้องเป็นเด็กพิการ คือ มีหน้าอกยุบแฟบไม่สมประกอบ  ซึ่งจากการสอบถามพบว่าเด็กชายดังกล่าวอยู่ในระหว่างที่มีการโปรยสารเคมีในบริเวณนั้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค.  42)
         หลังจากการออกมายอมรับของสหรัฐฯ  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  โดยกรมควบคุมมลพิษ  จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายมาทำการตรวจสอบใหม่  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่จากสำนักงานคุ้มครองมลพิษของสหรัฐฯ  ตัวอย่างดินที่เก็บคราวนี้อยู่ที่ระดับความลึก 2-5 เมตรซึ่งเป็นชั้นดินดาน และได้ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  เพราะจริง ๆ แล้วประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบสารไดออกซินได้  ซึ่งสุวิทย์  คุณกิตติ  รมว.  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  ออกมายอมรับในที่สุดว่า  ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบสารตัวนี้  เพราะไม่มีเครื่องมือเพียงพอ
         ด้านศักดิ์สิทธิ์  ตรีเดช  อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ  ก็ตามคำถามนี้ได้เพียงว่า "ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ถูกสารเคมีปนเปื้อนไปตรวจสอบและนำไปใช้วิธีการตรวจสอบแบบเทียบเคียงแล้วไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซินแต่อย่างใด  ในภาวะเร่งด่วนที่ต้องรายงานให้ประชาชนทราบ  จึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้ และยืนยันว่าผลการตรวจสอบที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานการวัดค่าทุกอย่าง" (มติชน 5 เม.ย.  42)
         "ไม่ใช่แต่กรณีของบ่อฝ้ายที่เดียวหรอก  เท่าที่สังเกตดู  ปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น  หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น  มักจะรีบออกมาปฏิเสธ  ในกรณีนี้  กรมควบคุมมลพิษอาจออกมาปฏิเสธเพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว  แต่กลับไม่คำนึงปัญหาเลยว่าจะก่อผลกระทบอย่างไรบ้าง"  เพ็ญโฉมสะท้อนภาพวิธีการแก้ปัญหาของกรมควบคุมมลพิษ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ฝนเหลืองที่ว่าอันตราย  บางทีก็ยังอันตรายน้อยกว่าระบบการแก้ปัญหาของราชการไทยเสียอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น