นักวิชาการชี้ ผลสำรวจปี 2551 พบเด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 5 เล่ม แม้ในปี 2554 จะมีสถิติการอ่านเพิ่มมากขึ้น
แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ ดังนั้นรัฐควรกระตุ้นการอ่านอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดเสวนา 100
หนังสือที่เด็กและเยาวชนควรอ่าน เพื่อพูดคุยถึงพฤติกรรมการอ่านหนังสือของ
โดย รศ.วิทยากร เชียงกูล หัวหน้าวิจัยโครงการ 100
หนังสือดีเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย เปิดเผยว่า โครงการ
วิจัยดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อสร้างแรงกระตุ้นนิสัยรักการอ่านในสังคมไทย
เนื่องจากที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักมองว่าหนังสือประเภทบันเทิงคดี
เป็นหนังสือสำหรับอ่านเล่นเพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงหนังสือประเภทนี้
กลับมีบทบาทช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ การคัดเลือก 100 หนังสือที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มวัยตามความสนใจและการรับเนื้อหาที่แตกต่างกัน คือ
1. กลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-6 ปี จะคัดเลือกหนังสือที่มีรูปภาพประกอบและมีเนื้อหาที่อ่านง่าย
2. กลุ่มเยาวชน อายุ 6-12 ปี จะ
คัดเลือกหนังสือที่เด็กสามารถเอาตนเองไปเปรียบเทียบได้อย่างสนุก
มีเนื้อหาที่สะท้อนชีวิตมากขึ้นทั้งความหวัง ความเศร้า
แต่เนื้อหาจะไม่หดหู่และร้ายแรงจนเกินไป
3. กลุ่มวัยรุ่น อายุ 12-18 ปี คัดเลือกหนังสือที่มีมีเนื้อหาหลากหลาย โครงเรื่องซับซ้อนมากขึ้น และมีการใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่สื่อความหมายได้ดี
รศ.วิทยากร กล่าวต่อว่า จากการคัดเลือกหนังสือเพื่อส่งเสริมการอ่านดังกล่าว ทำให้พบว่า ในภาพรวมของประเทศไทย ยังถือว่ามีการพัฒนาหนังสือสำหรับเด็กเล็กค่อนข้างน้อย จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมกันพัฒนา เพราะ
ช่วงเด็กถือเป็นช่วงที่สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน
และปลูกฝังพฤติกรรมรักการอ่านได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะช่วงอายุ 4 ขวบ
หากเด็กเล็กได้อ่านหนังสือและเกิดติดใจ
จะถือเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่เด็กจะติดนิสัยรักการอ่านไปตลอดชีวิต
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2551 ระบุว่า คน
ไทยอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป
ใช้เวลาอ่านหนังสือเรียนนอกเวลาเรียนและเวลาทำงาน เฉลี่ยวันละ 39 นาที
โดยกลุ่มเยาวชนถือเป็นกลุ่มที่อ่านหนังสือมากที่สุด เฉลี่ย 46 นาที
แต่หากเทียบกับประเทศอื่นยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก ซึ่งจาก
การจัดลำดับพฤติกรรมการอ่านพบว่าใน 1 ปี เด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยเพียง 5
เล่ม ขณะที่เวียดนาม อ่าน 60 เล่ม สิงคโปร์ อ่าน 45 เล่ม และมาเลเซีย อ่าน
40 เล่ม ดังนั้น
รัฐบาลจึงควรผลักดันนโยบายรักการอ่านอย่างจริงจังในระยะยาวด้วย
ด้าน นายปรีดา ปัญญาจันทร์ หนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกหนังสือ กล่าวว่า หนังสือเด็กและเยาวชนของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน หากเทียบกับจำนวนเนื้อหาพบว่า ประเทศไทยมีผู้ผลิตหนังสือเด็กและเยาวชนของประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่น ๆ เนื่อง
จากหนังสือเด็กในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
ส่วนใหญ่จะเน้นการนำนิทานพื้นบ้านกลับมาทำใหม่
ส่วนหนังสือเด็กในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์
ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่มาจากต่างประเทศเพราะไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา
ขณะที่ในประเทศไทยนั้น พบว่าปัจจุบันหนังสือแปลจากต่างประเทศลดลง
แต่มีการผลิตเนื้อหาภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งกลุ่มผู้อ่านยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่มีพื้นฐานการศึกษา
และฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรมีมาตรการสนับสนุนกลุ่มเด็กที่มีฐานะยากจนให้เข้าถึงหนังสือมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า
จากการสํารวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ที่ดำเนินการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554
โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน พ.ศ. 2554
จากจำนวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 53,000 ครัวเรือน พบว่า เด็กเล็กใน กทม. มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุด ร้อยละ 63.0 ส่วนผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือ ร้อยละ 68.6 ดังนั้นจึงพบว่า วัยเด็ก มีอัตราการอ่านหนังสือสูงกว่าวัยอื่น รองลงมาคือ กลุ่มเยาวชน กลุ่มวัยทำงาน และกลุ่มสูงอายุ
ซึ่งในการสำรวจครั้งนี้ ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป
ได้ให้ข้อเสนอแนะในการรณรงค์ให้คนนักการอ่านหนังสือในหลายประเด็นที่น่าสนใจ
เช่น หนังสือควรมีราคาถูกลง และมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ
รวมทั้งควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการอ่านหนังสือของประชากร ซึ่งสำรวจไว้ในปี 2551 พบ
ว่า ประชากรมีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6
ปี มีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น จากเดิมร้อยละ 63.0 เป็นร้อยละ 53.5
สำหรับ
กลุ่มผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
จากเดิมร้อยละ 66.3 เป็นร้อยละ 68.6 ทั้งนี้
อาจเนื่องจากมีการรณรงคส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดให้วันที่ 2
เมษายน ของทุกปีเป็นวันรักการอ่าน และปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน จึงเชื่อว่าหากรัฐบาลมีการผลักดันโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สิถิติการอ่านหนังสือของคนไทยน่าจะขยับสูงขึ้นอี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น